Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

How You love me like this!!!??? – การปกป้องแห่งความรักจากพระเจ้า

เกิดอะไรขึ้นในคืนคริสตมาส???

ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไร หลังจากที่เต็มล้นด้วยความสุขมาตลอด อยู่ๆ อะไรต่างๆ นาๆ ก็วิ่งเข้ามาในหัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจุดอ่อน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องที่เราไม่สามารถรักพี่น้องซึ่งแลเห็นได้ แล้วจะไปรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นได้ยังไง, เรื่องอนาคต, เรื่องจุดยืนของชีวิต, และโดยเฉพาะเรื่องการรอคอยคำตอบจากพระเจ้า ในสิ่งที่อธิษฐานมาแสนนาน อยากไปจากชีวิตที่เป็นอยู่ อยากไปให้พ้นๆ สิ่งเก่าๆ ไม่อยากเป็นอย่างนี้ เป็นคนที่ผิดหวังในตัวเอง โดยชีวิตไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา และอยากตาย

ได้แต่ถามพระเจ้าว่า พระองค์ทำได้มั๊ย ทำให้ลูกสามารถกลับมามีเรี่ยวแรงได้อย่างเก่า ภายในเวลาแป๊บเดียว
จิตวิญญาณแห้งเหี่ยว และจมปลักกับความสิ้นหวังท้อแท้ เพราะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ตรงข้ามกับคำว่า "ไม่" ใน 1 โครินธ์ 13

ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าเลือกเราจริงๆ ไม่ใช่เพราะทำตัวเองให้ลุกขึ้นมาได้อีก มันเป็นการปกป้องจากพระเจ้าล้วนๆ

มีหนังสือในชั้นเล่มหนึ่งที่ไม่เคยเปิดอ่านเลย เป็นหนังสือ The New Pilgrim’s Progress ที่ไทยแปลว่า "ปริศนาธรรม" ของ John Bunyan เขียนขึ้นในปี 1678 ทันทีที่เปิดมาหน้า 65 มันมีคำพูดที่มาจากพระเจ้าทันทีจริงๆ แต่ก็คั่นไว้ก่อน เพื่อไปตั้งต้นอ่านชีวประวัติของบันยันตั้งแต่ต้น เป็นคนที่ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอะไร

หนังสือเล่าว่า จอห์น บันยัน เป็นพวกหัวแข็ง สาปแช่ง ด่าทอ หมิ่นประมาทพระเจ้า อย่างรุนแรง แต่เมื่อถึงจุดที่พระเจ้าเปลี่ยน เขากลายเป็นคนประกาศเรื่องราวความรักของพระเจ้า ในข่าวประเสริฐขอพระเยซูคริสต์จนถูกจำคุก ต้องโทษ และกลายเป็นนักเทศน์ที่คนอยากฟังมากที่สุดในศตวรรษที่ 17

พระเจ้าไม่ใช่คนที่มาพูดว่า "คุณต้องทำแบบนี้ให้ได้ คุณต้องรักให้ได้" เพราะพระเจ้ารู้ความอ่อนแอในมนุษย์แต่ละคน จนพระเจ้านำให้อ่านเรื่องของบันยันแล้ว ความรักของพระองค์ได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ‘บางส่วน’ บันยันยังใช้เวลาตั้งหลายปีในวงการคริสเตียน กว่าเขาจะพบกับไม้กางเขน เปลี่ยนแปลงชีวิตเป็นคนละคน จนกลายเป็นคนที่เกิดผลมากเสียด้วย ทำให้เรานึกถึงอีตานี่ ที่เราอดทนมาแค่ 1 ปีครึ่ง ถ้าอีก 10 ปีข้างหน้า เค้าเกิดผลมากมาย ก็สมควรจะทนให้ได้

จุดที่สัมผัสความรักพระเจ้า ไม่ใช่ชีวประวัติของบันยัน แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัส เป็นสิ่งที่พระเจ้าปกป้องเราจากมารซาตาน
เพราะสิ่งที่เรารอคอยแสนนานจากพระเจ้า จนจะท้อหมดแล้ว เมื่ออ่านในตอนที่พระเจ้านำแล้ว ได้รับการฟื้นใจอย่างมาก

ตอนแรกอ่านงานเขียนของบันยัน รู้สึกว่าค่อนข้างไร้สาระ แต่พออ่านไปๆ เริ่มเห็นว่า นี่เป็นงานอันชาญฉลาดที่พระวิญญาณนำเขาจริงๆ
เขาสมมุติตัวละครแต่ละฉากได้อย่างน่าทึ่ง โดยเป็นเรื่องราวการเดินทางแห่งไม้กางเขนไปถึงชีวิตนิรันดร์ที่แสนยากลำบาก

นักไขปริศนา นำ คริสเตียน (ชื่อสมมุติของตัวละคร) ไปยังห้องเล็กๆ ที่มีเด็กเล็กๆ 2 คน นั่งอยู่ที่เก้าอี้คนละตัว คนโตชื่อว่า ตัณหา คนเล็กชื่อ อดทน ตัณหาทำท่าไม่พอใจในขณะที่อดทนนั่งเงียบอยู่ คริสเตียนถามว่า "ทำไม ตัณหา ทำท่าเหมือนไม่พอใจ" นักไขปริศนาตอบว่า "ผู้ปกครองที่ดูแลเด็ก 2 คนนี้ให้เขารอคอยสิ่งที่ดีที่สุดจนถึงต้นปีหน้า แต่ ตัณหา ต้องการเดี๋ยวนี้ ส่วนอดทนนั้นเต็มใจรอคอย"

จากนั้นข้าพเจ้าเห็นชายคนหนึ่งมาหา ตัณหา เอาถุงทรัพย์มาวางที่เท้าของเขา ตัณหามองดูด้วยความดีใจ ซ้ำยังหัวเราะเยาะอดทนอย่งเหยียดหยาม แต่ไม่นาน ตัณหาก็ผลาญทรัพย์สมบัติอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนไม่เหลืออะไร นอกจากผ้าขี้ริ้ว

คริสเตียน "ได้โปรดอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันเข้าใจมากกว่านี้เถิด"

นักไขปริศนา อธิบายเพิ่มเติมว่า "เด็ก 2 คนนี้ เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ตัณหา หมายถึง คนของโลกนี้ เขาต้องการสิ่งที่ดีในโลกนี้ทั้งหมดและต้องการเดี๋ยวนี้ด้วย เขาไม่สามารถรอคอยถึงปีหน้าได้ นี่เล็กถึงโลกหน้า คนประเภทนี้ยึดมั่นในภาษิตที่ว่า มีนก 1 ตัวในมือ ดีว่ามีนก 2 ตัวในพุ่มไม้ แทนที่จะเชื่อคำพยานจากพระเจ้าว่า สิ่งที่ดีของโลกนี้กำลังจะมาถึง คุณเห็นมั๊ยล่ะว่าเขาผลาญทรัพย์สมบัติอย่างรวดเร็วจนเหลือแต่ผ้าขี้ริ้ว และจะเป็นเช่นนั้นกับคนประเภทนี้จนกว่าจะสิ้นโลก ส่วน อดทน เล็งถึงคนที่รอคอยโลกหน้า"

คริสเตียน "ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า อดทน นั้นฉลาดกว่า ประการแรก เขารอคอยสิ่งที่ดีที่สุด และประการที่สอง เขาจะได้รับสง่าราศีในขณะที่ ตัณหา ไม่ได้อะไรเลย นอกจากผ้าขี้ริ้ว"

นักไขปริศนา "คุณอาจจะเพิ่มอีกประการหนึ่งได้ว่า สง่าราศีของโลกหน้าเป็นสิ่งถาวรและไม่ดับสุญไป ในขณะที่สิ่งดีๆ ของโลกนี้จะเสื่อมสูญไปในพริบตา ฉนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่ ตัณหาจะหัวเราะเยาะอดทน เพราะคนต้นจะกลายเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลายเป็นคนต้น เพะาะว่าไม่มีใครจะมาแซงหน้าเขาได้อีก เขาผู้ซึ่งรับส่วนแบ่งแล้ว จำต้องมีเวลาใช้ส่วนแบ่งนั้น แต่เขาผู้รับส่วนแบ่งตอนท้ายจะได้ใช้ตลอดนิรันดร์ เปรียบเหมือนเรื่องเศรษฐีกับลาซารัสไง เมื่ออยู่บนโลก เศรษฐีได้รับสิ่งที่ดีตลอดชีวิต ในขณะที่ลาซารัสได้รับแต่สิ่งที่เลวร้าย แต่บัดนี้ ลาซารัสมีความสุขสบาย ในขณะที่เศรษฐีได้รับความทุกข์ทรมาน"

คริสเตียน "ถ้าเช่นนั้น ฉันคิดว่าเราไม่ควรโลภสิ่งต่างๆ ในตอนนี้ ควรจะรอสิ่งที่ดีกว่าที่จะมาถึงใช่ไหม?"

นักไขปริศนา "คุณพูดถูกแล้ว สิ่งที่คุณเห็นตอนนี้ เป็นสิ่งชั่วคราว สิ่งที่คุณยังไม่เห็นนั้นสิเป็นเรื่องนิรันดร์ สิ่งที่คุณเห็นตอนนี้เป็นสิ่งที่ต้องตาต้องใจความต้องการฝ่ายเนื้อหนังของเรา แต่สิ่งที่กำลังจะมานั้นเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนสำหรับความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นได้จึงเป็นมิตรกับคนฝ่ายโลกทันที แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นจะอยู่ห่างไกลคนฝ่ายโลก"

ข้าพเจ้าเห็นนักไขปริศนาพาคริสเตียนไปยังสถานที่ซึ่งมีไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่ข้างๆ กำแพง มีคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น พยายามราดน้ำดับไฟอยู่ กระนั้นก็ตาม ไฟยังคงลุกโชติช่วง โหมแรงขึ้น และร้อนขึ้น

คริสเตียน "นั่นหมายความว่าอะไร"

นักไขปริศนา "ไฟนั้นเปรียบเหมือนงานของพระคุณในจิตใจ ส่วนผู้ราดน้ำอยู่คือซาตาน ฉันจะอธิบายว่าทำไมไฟจึงลุกโชติช่วงขึ้นและร้อนขึ้นอยู่ตลอดเวลา"

เขาพาคริสเตียนไปข้างหลังกำแพง พบชายคนหนึ่งมีน้ำมันอยู่ในมือ เขาราดน้ำมันไปที่กำแพงอย่างเงียบๆ

คริสเตียน "นี่หมายความว่าอะไรอีกล่ะ"

นักไขปริศนา "ชายผู้นี้คือพระคริสต์ ท่านจะรักษาการงานในจิตใจนั้นไว้อย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำมันแห่งพระคุณ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ามารซาตานจะทำลายเราอย่างไร จิตใจของคนของพระองค์ก็ยังคงยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดี แต่เนื่องจากผู้ที่ทำหน้าที่ผดุงรักษาไฟให้ลุกโชติช่วงนั้นอยู่ข้างหลังกำแพง จึงเป็นการยากสำหรับคนที่ถูกทดลองจะเห็นงานของพระคุณที่ดำรงอยู่ในจิตใจของเขา"

…..

ข้าพเจ้าเห็นทั้ง 2 ข้างทางที่คริสเตียนเดินผ่านไป มีกำแพงที่เรียกว่า กำแพงแห่งความรอดทอดยาวไปตลอดทาง คริสเตียนวิ่งขึ้นไปอย่างยากลำบากเพราะภาระหนักบนหลังเขา

เขาวิ่งขึ้นไปจนถึงยอดเขาซึ่งมีกางเขนปักอยู่ที่นั่น ส่วนเชิงเขานั้นมีหลุมฝังศพ เสี้ยววินาทีที่คริสเตียนไปถึงกางเขนนั้น ภาระหนักบนหลังของเขาก็หล่นกลิ้งลงมาถึงปากหลุมศพ และจมหายเข้าไปในนั้นจนลับตา

คริสเตียนดีใจและโล่งใจมาก จึงตะโกนก้องด้วยความลิงโลดว่า "พระเจ้าได้ประทานการพำนักโดยความทุกข์ของพระองค์ และประทานชีวิตโดยความตายของพระองค์" คริสเตียนยืนนิ่งอยู่ที่นั่นพักหนึ่ง และประหลาดใจที่เพียงมองกางเขนก็สามารถปลดเปลื้องภาระหนักได้อย่างง่ายดาย เขายืนเฝ้าดูอยู่จนน้ำตาไหลอาบแก้ม

นี่คืองานเขียนของผู้ที่เคยแช่งด่าพระเจ้า … ขอบคุณพระองค์ที่ช่วยปกป้องลูก
อันที่จริง ลูกกำลังทำตัวเหมือน "ตัณหา" ที่ท้อแท้กับสิ่งที่ลูกรอคอย และจะเอาเดี๋ยวนี้
ถ้าพระบิดาในสวรรค์ไม่ดีจริง คงหยิบยื่นสิ่งน่าอันตรายที่เราต้องการทันใดให้ก่อนไปแล้ว
แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เบื้องหลังพระองค์ราดน้ำมันในกองเพลิงนั้นอยู่ ให้รอคอยสิ่งที่เรียกว่า "The Best!"
เมื่อลูกได้พบพระองค์ที่ "กางเขน" อีกครา ภาระของลูกก็ถูกวางลงด้วยความเชื่อที่พระองค์ส่งตรงให้
Thank You for the Cross where the burden rolled away

พระองค์คือสุดยอดแห่งความน่ารัก จนลูกอดถามไม่ได้ว่า "How You love me like this!!!???"

3 Comments »

Sweet Mercies

It’s our confession Lord, that we are weak,
So very weak  but You are strong
And though we’ve nothing Lord to lay at your feet
We Come to your feet and say help us along

A broken heart and a contrite spirit,  You have yet to deny
Your heart of mercy meets with love strong courage
Let the river flow by your spirit now, Lord we cry

Let Your mercies fall from heaven
Sweet mercies flow from heaven
New mercies for the day
Oh show them down Lord as we pray

Lyric by David Ruis
Copyright © Mercy Publishing 1995

Restore me O Lord,
I feel doubtful, weak, weary, hopeless & disappointed
My heart aches & full of blueness
but when I think of Your mercies, my hope rises up again

Plzzzz me Lord … I’m gonna die in my spirit

Leave a comment »

My Christmas

Tho there is a least christian in Thailand, when I see the decor for christmas in any places. I am glad that means to people think it’s important day. This year, I rarely evangelize in public with my bro & sis. So, I expect to extremely work on this ministry before ending of 2007 even brethren are not quite ready.

We planned many concerns such as book, brochure, banner, contact information & etc. First, church cancel payment for these books, we gotta spend group’ budget that’s not enough [In fact, this for our latter big project]. Next, we lose bro & sis who have started new life with full-time working after post-graduation. They’re too busy to serve God or even join Sunday service. Last, it’s the same day with plitical election. There’s changing time to evening, etc… Anyways, we cannot stop project on christmas about carolling @Siam station [center of BKK skytrain] cuz it’s best place for evangelism.

Besides, youth group canceled joining only 1 day before it came true [more than 10 pple]. No rehearsal & nobody’s willing Nevertheless, my soul was full of joy when I seeked God with praying & fasting by His words of life. Saturday 22nd, I might go church & work without anyone but really thank God. I’m not alone & He gathered good friends work together suprisingly! Net, Ju, Fon, N’M did it till afternoon & Koi continue with me till evening.

23rd :: Pah, Kwan, Jim, Cha, Koi & A participate in sealing address, sticking phone number & attaching brochures into xmas book till it’s enough for first day ministry. When the time come, AJ from center called me to say sorry "You all cannot join anymore cuz ticket ran out of stock" I gotta negotiate till he finds the way as his responsibility cuz we have no fault & everybody do with all attempt for ready to go.

   

Traffic jam made us get station late 6 pm. but we start at once. There’re Pah, Safus, Net, Ju, Cha, Koi, A, Jim, Kwan & me who sing & deal 800 books out to BTS passenger. We actually enjoyed this ministry for 3 hours, then we got on bogie to Morchit terminal with singing & come back to Siam again before saying goodbye someone. Koi, Kwan, Jim, Cha & me got off at Onnuch & Cha came to my home. I was so excited with my online business, so I hasted to check on but I lose many dollars & get repayment $0 [Plz pray for me]

24th :: Cha & I went to Seacon Sqare to buy sound amplifier by profit from polo shirt of AGAPE & Chany instantly made up her mind to get another 1 guitar as well. A, Cha, me & some youth continued to finish xmas book until 6pm. 5 pple from yesterday cannot join us again but new 4 pple come instead. This day we late went to station cuz there’s bogie for our King in early evening. We couldn’t sing that time. Tho late night & there’re pple lesser than yesterday, 1000 books were shared out of carryall.

   

After we had finished ministry, Fus, Cha, Pah & me went to China Town to have a dinner & famous dessert [Pah-Kouy] at 1 am. of Dec 25th. Fussy is still my very good friend, she drived for everyone to home but I went to Kae’ home cuz my home is so far away from city.

25th :: Kae thought … my hair style is very old-fashioned, so she urged me to set new one by making wave & changing color. but I agree only cutting. Then I give up going home & having lunch at Seacon again before getting in salon.

We got church again at 6pm. Pastor needs this christmas has Thai style by inviting church to wear thai costume. Today, we moved to Faith building again after renovation last 5 months, from long hall to be wide hall [but too smaller stage]. I do like it! cuz of the cross on the ceiling.

   

I knew N’ Ple by Chris from Romania & she came here at the first times, Safus nicely took care & asked her when preacher called whom need to receive Jesus Christ. She went out with crowded pple, include Jim, Kwan & Ju. We all were very happy for love of God to send His only Son for us. It’s so meaningful. Kae & I went along with Ple to take her home while Ligae [Thai ancient performance] was showing cuz her rest is also far.

After I got home & back in my room, I prayed to thank God for all joy & strength all christmas & ministry but I could not pray more for another, don’t know why. Late night, I feel I wanna die & boring this world. I’d like to change my surrounding & all situations that I am. [Last year, after Christmas, I was very sick all week till cannot finish da big programming project] Richard from California told me last night to rest in Spirit after serving before I really understand it today! I’m full with tears & blueness before ending happy day.

However … Thank God for Jesus Christ & for choosing me. Cuz of you, I come before God anytime without damnation of sin. If you take away the power of gospel & grace, I may live in this fool world with meaningless & die in vain. I wanna understand more about Jesus, your blood & cross till the day I die.

As far as I walk in this way, I’ve found that I’m over sensitive-girl than I ever thought. I’m really weak & hope to say as Paul "For when I am weak, then I am strong." [2 Cor 12:10]

3 Comments »

Keep Moving Forward

AROUND HERE, HOWEVER, WE DON’T
LOOK BACKWARDS FOR VERY LONG.

WE KEEP MOVING FORWARD, OPENING UP NEW DOORS
AND DOING NEW THINGS, BECAUSE WE’RE CURIOUS …
AND CURIOSITY KEEPS LEADING US DOWN NEW PATHS

KEEP MOVING FORWARD
 quoted by Walt Disney
from Meet the Robinson

1 Comment »

F A I T H 4 Success

อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เคยคิดว่าตัวเองล้มเหลวผิดพลาด (โดยเฉพาะน้องนิค)
ทุกๆ ความสำเร็จ เบื้องหลังมีเรื่องของ "ความเชื่อ" แฝงอยู่ด้วยเสมอ
ที่เหลือคือประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้เรา "มุ่งมั่น" และ "อดทน"
เหมือนที่ Disney (เค้าเกิดในครอบครัวคริสเตียน) พูดว่าอย่ามองแต่อดีตมากนัก แต่ก้าวต่อไป

มีคนบอกว่า อยากรวยให้ไปขายก๋วยเตี๋ยว ขายเสื้อผ้า ที่นั่น ที่โน่นเซ่ รายได้ดีมาก
ดูบุฟเฟ่หมูกะทะสิ รายได้วันนึงเป็นแสนเลย เปิดหลายสาขา ก็วันละเป็นล้าน
แต่เคยได้ยินมั๊ยว่า "อย่าเสียเวลากับสิ่งที่มันไม่แตะต้องใจเรา"
ถ้าชีวิตเราขับเคลื่อนอย่างผิดเป้าหมายแล้วล่ะก็ ชีวิตจะมีแต่ความกดดัน
แต่ถ้าเรามุ่งจากสิ่งที่เรารัก เต็มไปด้วย Passion มันจะผลักดันชีวิตให้สดใส
ถ้าจำเป็นต้องหารายได้มากจริงๆ เราก็จะเริ่มจากสิ่งที่เราสนใจ หรือสิ่งที่ถนัดก่อน
อย่าล้มเลิกความฝัน หากว่าพระเจ้าให้เกียรติสิ่งนั้นแล้ว ทำมันต่อไป

วันนี้มีโอกาสได้อ่านสุนทรพจน์ของ Steve Jobs ค่อนข้างชอบและตรงกับข้างบน เลยก็อปมาให้อ่านนะจ๊ะ

จงหิวโหย จงโง่เขลา

สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch

โอวาทที่ Steve Jobs ผู้สร้าง Macintosh แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้

สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขาซึ่งแม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า “การลากเส้นต่อจุด” เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6 เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs กล่าวว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด

แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่า พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย

กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียนมหาวิทยาลัย

17 ปีต่อมา Jobs ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยงดู เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต

แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้

แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna

อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา และหนึ่งในนั้นคือ วิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)

Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม

ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้ Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ “ลากเส้นต่อจุด” หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (calligraphy) จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น

ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs ก็คือ คุณจะต้อง “ไว้ใจและเชื่อมั่น” ว่า จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่

บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย Jobs อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า 4,000 คน

แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่ 30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต

แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า การถูกอัปเปหิจาก Apple กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา

ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple

Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย เมื่ออายุ 17 ปี Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น

วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย

แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่างละเอียด ก็กลับพบว่า มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว

นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติว่า ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ

ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร

Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่มหนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา

Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548
แปลและเรียบเรียงโดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์

P.S.// ที่วันนี้มาอ่านแล้วโดนใจ เพราะมื่อคืน Dec 16th เพิ่งอธิษฐานว่าถ้าพรุ่งนี้ความตายมาถึงแล้ว ลูกเสียดายอยู่อย่างหนึ่ง คือ XXX ซึ่งไม่ใช่ยังไม่ได้ทำ แต่ยังทำได้ไม่ดี เพราะไม่มี ZZZ ขอพระองค์ช่วยลูกด้วยเถิดนะคะ

1 Comment »

งานนี้ไม่กรี๊ดไม่ได้แล้ว o_O โอ้ พระเจ้า

แบบว่าช็อคเลยอ่ะ
หลายอาทิตย์ก่อนที่เขียนเรื่องไม่มีความบังเอิญในชีวิต
พูดถึงแมวเหมียว เพื่อนมหาลัย ให้ไปช่วยชะทำทีสิส เพื่อนที่โบสถ์
กลายเป็นว่า แมวกะชะเคยรู้จักกันมาก่อน เพราะเรียน รร. เดียวกัน
วันนี้อยากจะกรี๊ดยิ่งกว่า

เพื่อนสมัยมัธยมเหลือน้อยมากๆ แล้วอ่ะ เพราะมันเกือบจะ 10 ปี
1 ในนั้นมีเพื่อนคนนึง ซึ่งเรื่องที่เขียนคราวก่อนมีเรื่องของคนนี้นิดนึงด้วย
เราเคยประกาศกับเพื่อนคนนี้อย่างจริงจังมาก แต่จำได้ว่าเพื่อนยังไม่เปิดใจ
ยิ่งตอนที่บอกว่าพระเยซูตายแทนบาป เงียบไปเลย
ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้อีกเลย … ทุกวันนี้ เพื่อนก็ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนอ่ะ
แต่เราอธิษฐานเผื่อเพื่อนคนนี้อยู่เป็นระยะๆ แม้จะไม่ทุกวันก็เหอะ

พี่ชายของเพื่อนคนนี้ เป็นคริสเตียนนานแล้ว หน่อยเคยเล่าให้ฟังนานแล้ว จำได้
ซึ่งเพื่อนเล่าให้ฟัง ว่าเป็นการเชื่อพระเจ้าที่เหลือเชื่อ และเหมือนจะบังเอิญจาก CD
บังเอิญเจอพี่คริสเตียนคนหนึ่งใน Hi5 ก็แอดไว้ เพิ่งรู้ว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ ก็ไม่เท่าไหร่อ่ะ
แต่คลิกไป คลิกมา ตกใจมากๆ เพิ่งรู้ว่าน้องชายเพื่อน ตอนนี้เป็นคริสเตียนแล้ว
แถมยังรู้จักกับน้องที่โบสถ์เราซะอีกตั้งหลายคน ก็ยังไม่ตกใจมาก

แต่พอได้เห็นรูปน้องชายเพื่อน ถึงรู้ว่าได้ลงเรือลำเดียวกะเรา เมื่อวันที่ไปอธิษฐานอยุธยา
ลงเรือโดยไม่รู้ว่าเกี่ยวดอง ไม่เคยรู้ ไม่เคยประสบมาก่อน ว่าเพื่อนซึ่งเราอธิษฐานเผื่อเสมอ
ครอบครัวเขาจะเป็นคริสเตียนกันทั้งบ้านแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นยังไงบ้าง

ที่อยากจะกรี๊ด คือ พระเจ้ายิ่งใหญ่มากๆ สิ่งที่เราอธิษฐานไป พระเจ้ารับฟังทุกอย่าง
แม้บางครั้งจะดูเหมือนไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง เพื่อนมากมายเหล่านี้จะรู้จักพระเจ้าได้ยังไง
เหมือนเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ คำตอบห่างไกล และดูยากยิ่ง แต่พระเจ้าทำการวนเวียนอยู่ข้างเรา

เป็นไปได้อย่างไร น้องชายของเพื่อนที่หวังจะให้เขาได้รับความรอดอย่างยิ่งมาลงเรือลำเดียวกัน?

เรือไม่ได้มีลำเดียวนะ … ช็อค แต่ ขอบคุณพระเจ้า ที่อย่างน้อย พระองค์ก็เปลี่ยนสถานการณ์รอบข้างเพื่อน
โดยกระทำผ่านคนในครอบครัวเดียวกัน ก็เชื่อว่าเพื่อนหน่อยคนนี้ จะต้องได้รับความรอด ASAP … Amen

"เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า
และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น

คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเรา จะไม่กลับมาสู่เราเปล่า
แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น
"
[Isa 55:9,11]

Leave a comment »

I miss here – Diary Will Never Ever Die

Brethren asked me why I don’t update my entry now. That is I wanna pay my attention for my christian website. I intended to leave here many times but finally I miss it so much even this space/blog obstructs my time to develop web ministry. So I told my dearest God that I want to come back sometimes.

It sounds good reason but when I’m down & lack of relationship with my Father in heaven. I have no power to write spiritual article/experience also. Now, it seems I didn’t get depth of revelation from Holy Spirit for a week. So sad Anyways, I still share my diary for myself in the future.

Diary :: Dec 7th – I don’t know why I’m so boring night of prayer on Friday when I was there tonight. It’s too over weary to pray a lot like this. Everything in my mind seems not freely. No fire, no passion. I felt enjoyable with shopping more than time in church.

Diary :: Dec 9th – It doesn’t matter who is the worship leader but my buddy, Safus, do it today. I don’t care who is around me but I know the throne of mercy is here. When He is crying, I’m crying. So in love with my best friend, God! In the afternoon, I was informed many confused program which coincide, change day & time to evangelize on BTS.

I can’t stand with my any feeling in da group’ room. I felt guilty that I cannot love someonce as much as I should but annoyed emotion instead. Yes, I’m so boring some brethren who joins group 1 year ago but this one never change, moreover XXX does more worse day in day out. It’s just 1 year … so short time naa me! just endure hey hey … XXX may be changed in next year. My 2 thoughts attack each other till I gotta go out of da room to confess & consult my spiritual sister to pray for me more love.

While she’s praying for me with crying, I hear the verse in my spirit in Corin 13:4. [LOVE SUFFERS LONG AND IS KIND … BEARS ALL THINGS, BELIEVES ALL THINGS, HOPES ALL THINGS, ENDURES ALL THINGS.] This time is not just simple word like I used to read but it’s strong & so meaningful. Thank God.

   

About 3pm. Pink polo shirts, the project since last year, were arrived church & started to sell. Just few hours, we’ve got invest & profits but I think it’s not enough yet to buy evangelic book for this x’mas. Evening, we hang out @Korean BBQ’ Buffet 3 hours & get back again cuz today we gotta sleep at church. I don’t know why I cannot close my eyes until the morning.

Diary :: Dec 10th – As above, I didn’t get sleep at all. So, I get Taksin Pier without fresh. I expect to get on the second cruiser but I gotta board the last one. We all couldn’t sit together cuz of the full, then we separate 2 tables. Suddenly worship’s started, I have very good feeling & appreciate to God so much. I’m not bold to jump in worship cuz this cruiser is made from wood but most breathren do it!

We enjoy worship & praying but sometime we go outside to see the side vista. There’re many buddhist temple at 2 sides & we believe the glory of God will take over all instead. I’m disappointed providing lunch a bit cuz no equal between senior, staff & general people but finally God nicely prepare for me. We kee on worshiping untill reach Ayuthaya. 3 non-believers have some bore, they joined not the meeting then.

   

The reason of this program is to pray "break the chain" of spiritual root of Thailand. Ayuthaya was ever capital of Thailand before Bangkok. Here has a bad history about war & attack for the possession the land. There’s least of christian & full with black magic in this city. Pray Network paid for 400,000B x 3 for 3 cruisers & for MP3 players which have testimonies, worship songs, etc to share gospel (cancel today cuz not deliver on time) about 6 million by secret sponsor from Singapore. Someone doesn’t not agree but for me it’s ok. Everything that God start, the money is a little topic. There’re many attendants have a vision about the river Jaopraya. They see the dark river become golden when we pass it. Someone see the fire burns our voyage from the bottom!  WoW

Before ending journey, I get the cheer of love that I wait for God via teacher from Bangcare Church. I say YES! This is! He has good recommendation for each one at the same table & finally he guides me how to love K surprisely. He said that K met the strong events in his young life, so he express strong & aggressive emotion always. He guides me to find spiritual brother to hug & take care of him cuz he needs a lot of loves.  We should hold his hands & pray when we worship together. God is very lovely!

   

I feel the weighty presence of God in the meeting room at Hotel in Ayuthaya. Bro & sis throw their spirit for war-praying against the rulers of darkness. There’s a spiritual forgiveness between Thai & Meanmar by 2 behalfs. We love it but it seems too long time. We left the hall later than others so the food is run out of trays tho we are so hungry  Finally, we go back BKK by the bus & I get my home at 9pm. So sleepy

Diary :: Dec 11th – เวลาที่ว่างแล้ว ตั้งใจไปธนาคาร ทำธุระบางอย่างให้เสร็จสรรพ ทั้งที่ชั้น 2 คนน้อยมาก เจ้าหน้าที่ที่ต้องบริการเรา หายตัวไปไร้ร่องรอยอยู่ครึ่งชั่วโมง ทั้งที่คาดว่ามา 10 นาทีก็เสร็จแล้ว ถ้าด้วยเนื้อหนังแล้ว นิสัยอย่างเรา 555 ต้องลุกขึ้นแอบโวยแน่เลย เช่น พนักงานไปไหน นานอย่างนี้ เสียเวลาทำมาหากินเฟ้ยย แต่ดันฉุกคิดถึงพระองค์บ้าง เลยขอพระเจ้าประทานปากดีๆ เลยถามคนอื่นว่า รับ xxx ได้ตอนกี่โมงคะ? (ยิ้มหวาน ) เค้าเลยบอกให้รอต่อไป ระหว่างนี้ พระคำข้อนี้มาอีกแล้ว "ความรักนั้นก็อดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด" ถ้าอดทนน้อยกว่านี้ คงคิดว่าลูกค้าต้องเป็นใหญ่เสมอ อวดตัวยโสโวยไปแน่ๆ เลย แต่ก็มันนานจริงแหละ 2 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จธุระอ่ะ แถมเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอีกต่างหาก ว่าบัตรเครดิตเค้าใช้เลข 3 ตัว Verify ไม่ใช่ 4 ตัว … และยังต้องรออีก 2 อาทิตย์ กว่าธุระนี้จะเสร็จสิ้น

ก่อนจะแวะร้านหนังสือ มีเหตุให้ตัดสินใจขึ้นไปชั้นบน ซึ่งเป็นการจัดเตรียมของพระองค์ ที่ไม่มีความบังเอิญ ได้เจอกะพี่ 1 ที่ไม่ได้เจอกันมาราว 4 ปี ดูพี่ 1 ตัวบวมขึ้นเยอะถ้าเทียบกับสมัยเรียน ม.รังสิต พี่ 1 พึ่งกลับมาจากทำงานที่สิงคโปร์ บอกว่าต้องกินเป๊บซี่เพราะน้ำเปล่าแพงกว่า เลยชวนกันมานั่งคุยเรื่องราวต่างๆ และเรื่องงานได้ซักพัก ก็แยกย้ายกันไป

หลังจากไม่ได้ขลุกตัวอยู่กับร้านหนังสืออย่างที่ชอบมานาน หลังจากชอปปิ้ง ก็เข้าไปใช้ชีวิตอยู่หลายชั่วโมง ร้านนายอินทร์ ที่ Fashion Island ชั้นใต้ดิน เป็นร้านที่น่านั่งอ่านโดยไม่ซื้อมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ถ้าไม่ค้นพบความล้ำค่า ของไบเบิ้ลเมื่อหลายปีก่อน ร้านนี้จะต้องเสียที่นั่งให้กับนักอ่านคนนี้เป็นประจำ เห็นซุ้มหนังสือเด็กแล้วอิจฉาเจรงๆ เป็นเหล่าหนังสือที่ฝันใฝ่มาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็น Sherlock Holmes ฉบับการ์ตูน ตั้งหลายสำนักพิมพ์แน่ะ (สมัยก่อนต้องอ่านแต่ตัวหนังสือ), ประวัติศาสตร์โลกและยุโรปฉบับการ์ตูน, เรื่องราวของ Celebrities และนักค้นพบฉบับการ์ตูน สีสวยสดใส ฯลฯ แต่ก็ไม่กล้าซื้อ เพราะแพงมากๆ เลย โฮล์มฉบับการ์ตูนเมื่อ 5 ปีก่อน เล่มละ 30฿ ตอนนี้เล่มละ 200฿ ดีที่อ่านครบ 60 ตอนแล้ว เลยไม่ต้องมีกิเลสซื้อให้ได้อีก 555 แต่ถึงอย่างไร เวลาที่หมดไป นั่งอ่านหนังสือคอมฯ มากกว่า เห็นหนังสือ SONAR แล้วกรี๊ดเลย แต่เวอร์ชั่นเก่า และอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง

อยากอ่าน "เครื่องหมายและสัญลักษณ์ในคริสตศิลป์" แต่ไม่มีเวลา เพราะไปอ่านพวก eBiz หลายเล่ม และที่ชอบที่สุด คือ หนังสือกำเนิด Google ….. (เดี๋ยวมาเขียนต่อ เรื่องมันย้าวว ยาวว – แต่ก็ทำให้ความรักโลก และความทะเยอทะยานมันกลับมา) ….. ….. ….. ….. ….. ….. ….. ….. ….. ….. สุดท้ายได้ 1 เล่มกลับบ้าน 555 ไม่บอกหรอกว่าเรื่องอะไร ฟามลับ

1 Comment »

DIARY Again

Diary Dec 1st, 2007มีคนชวนไปงานฟื้นฟูที่โบสถ์ใกล้ๆ บ้าน แต่เกรงว่าออกจากบ้านไปแถวบางกะปิ จะใช้ตังค์ที่ลูกค้าเพิ่งจ่ายมาวันนี้ซะหมด ก็เลยอยู่บ้านดีกว่า ตกดึกหน้ามืดลงมาหาของกินในตู้เย็น เจอปลาดิบกับวาซาบิเข้าไป ใช่เลย 555 เลยบอกพระองค์ว่าพรุ่งนี้อยากกินโออิชิจัง แต่ถ้าเป็นความอยากที่ไม่ดี ลูกเปลี่ยนเป็นส้มตำไก่ย่างก็ได้ ตกดึกๆ ไม่ค่อยมีสมาธิทำงานอีกแล้ว เพราะมันเยอะมาก ไม่รู้จะทำอันไหน ไปนอนดีกว่า

Diary Dec 2nd, 2007ในวาระแห่งการใส่เสื้อเหลือง กับเทรนด์เสื้อชมพู วันนี้ เลยเอามันทั้ง 2 สี ออกมาติงต๊องสุดๆ … พักนี้ไม่ต้องเล่นเปียโนแล้ว เลยชิวๆ ไม่ต้องกระหืดกระหอบ 555 และมีเวลากับกลุ่มมากขึ้น วันนี้ก็ดี แต่สัมผัสว่าการนมัสการไม่ไหลในกลุ่ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งที่วันก่อนนมัสการส่วนตัวเพลงเดียวกัน สัมผัสพระเจ้ามากๆ หลังเลิกกลุ่ม ไม่น่าเชื่อ ชุเกิดอยากกินโออิชิจัด ตอนแรกนึกว่าเป็นชาบู สุดท้าย ตามจินตนาการเมื่อคืนเลย แซลมอนส้มๆ สาหร่ายเขียวๆ เต็มสตรีม เสียดายที่เพื่อนฟัสกลับไปก่อน เพราะปีนี้กินโออิชิกับฟัสบ่อยที่สุด … ไปเดินย่อยปลาดิบแถวหน้าราม หมดตังค์ไปราวๆ 3 พัน อัดอั้นมานาน ตกดึก นั่งแท็กซี่กลับบ้าน และเรื่องไม่บังเอิญก็เกิดขึ้น เมื่อพี่คนขับบอกว่าตอนเช้ามีคนพูดเรื่องพระเยซูให้ฟัง และน้องเป็นอีกรายของวันนี้ กลับบ้านมีความสุขสุดๆ ที่พี่คนขับใกล้ความรอดมาก ลบล้างความเครียดเรื่องที่ผุดขึ้นมาตอนเย็นๆ เกือบเกลี้ยง ขอบคุณพระเจ้าผู้น่ารัก แม้เรื่องเล็กน้อยอย่างโออิชิ พระบิดาในสวรรค์ก็จัดให้

Diary Dec 3rd, 2007มี Worship Concert ของ Bob Fitts ที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ตอน 1 ทุ่ม ไกลมากๆ แต่ด้วยการจัดเตรียมของพระเจ้า เราใช้เวลาสั้นๆ ในการเดินทาง แต่อย่างว่า คนไทยอ่ะ จัดอะไรก็มีเลทตลอด 1 ทุ่มก็ยังไม่เริ่ม เราเลยไปเดินสำรวจรอบๆ สนามหลวง เพราะหิวข้าว จะไปหาอะไรกิน เห็นคนต่อคิวรอข้าวฟรีกันยาวเหยียด แต่ว่าดันเป็นวัดที่เอามาแจก แต่ยังดีนะ เพราะคนที่มารับ ดูน่าสงสารมากๆ ทุกคน บางคนก็เป็นคนเร่ร่อนอยู่แถวนั้น เก็บขยะบ้าง ขอทานบ้าง … นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ยังรวมถึง คนพิการ คนยากจน คนไม่รู้หนังสือ ฯลฯ ที่เคยถามพระเจ้าว่า เราจะช่วยเขาได้ยังไง พระองค์บอกว่า ให้เราช่วยเขาด้วยการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะถ้าช่วยด้วยเงิน หรือด้วยอย่างอื่น เมื่อสิ้นสุดลง เขาก็มีปัญหาอีก แต่การที่วิญญาณหนึ่ง ได้รู้จักกับพระเยซู เขาจะได้รับการปลดปล่อยทุกๆ ด้าน เพราะพระเยซูเป็นผู้มาให้ชีวิตครบบริบูรณ์ [John 10:10] แต่ก็ยังช่วยทางปัจจัยได้อยู่นะ เพียงแต่ข่าวประเสริฐคือสิ่งที่ดีที่สุด

จากการเดินสำรวจงาน และกลับเข้าไปในห้องประชุม เราสัมผัสวิญญาณแห่งการไหว้รูปเคารพมากๆ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกศรัทธา เคารพยกย่อง จนอยากจะกราบไหว้ แถวนั้นเป็นศูนย์กลางของ กทม. ที่เต็มไปด้วยวัดต่างๆ รายล้อม ประตูหลังมหาลัยก็เต็มด้วยการขายกรอบ จตค และรูปเคารพจำนวนมาก เห็นแล้วอยากจะร้องไห้ เพราะคนไทยงมงายมากกว่าที่เราเคยคิดไว้เยอะ ระหว่างที่เดิน ภาพอาจารย์เปาโล ถูกรุมสกรำที่เมืองเอเฟซัสผุดขึ้นมาในหัว อันเนื่องจาก เมื่อคนเชื่อพระเจ้าแล้ว พ่อค้าแม่ค้ารูปเคารพต้องสูญเสียรายได้ไป (คนอย่างเปาโลสมัยนี้อยู่ที่ไหนหนอ?)

กว่า Concert จะเริ่มก็เลทเกือบ 2 ทุ่มแน่ะ ที่มาเพราะนัดผู้ใหญ่เอาไว้ ซึ่งก็ไม่ได้ธุระนั้นเท่าไหร่ ไม่อยากจะเชื่อเล้ยย เลยเข้าไปนั่งฟังเพลงที่นั่ง VIP ด้วยการจัดเตรียมของพระองค์ เพิ่งรู้ว่าโรส ที่ร้องเพลง "ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ" เป็นคริสเตียนอ่ะ ตอนร้องเพลง "รักวิเศษ" กับ "พรุ่งนี้" น้ำตาไหลเลย เพราะเฝ้าเดี่ยววันนี้ได้พระคำข้อที่ไม่คิดว่าจะได้อีก ใน โรม 8 เรื่องความรัก หลังจากชีวิตผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย แต่ความรักของพระเจ้าก็จะยังอยู่เรื่อยไป … มีอยู่วงนึง ไม่เข้ากะคอนเสิร์ตบ็อบฟิตเลย เพราะเพลงแรงมาก จนผู้ใหญ่หลายท่านลุกออกไป

 

กว่า Bob Fitts จะโผล่ เฮ้อ เกือบจะ 4 ทุ่มแล้วมั้ง แต่ดีที่อดทนรอคอย เพราะคุ้มค่าจริงๆ แม้อาจารย์บ๊อบ จะเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนนมัสการวายแวม จนอายุปูนนี้แล้ว เราก็ยังได้โดดกับเพลงที่เค้าแต่ง และยังสอนว่า เมื่อเราปรบมือ ตามหลัก Sci แล้วจะมี Shock Wave ขึ้นไปในอากาศ ในทางฝ่ายวิญญาณ มารซาตานมันกลัวการสรรเสริญพระเจ้า ที่แสดงออกมาของเรา นอกจากนี้ อ. ยังถามว่าใครที่ตกอยู่ในความกลัวบ้าง คนยกเยอะนะ เรายังยกเลย 55 แต่ยังปลดปล่อยไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ได้กลัวมารซาตาน และไม่เคยกลัวผี

แต่สิ่งที่เรากลัวคือตัวเราเอง และกลัวมนุษย์ ถ้าเราไม่กลัวหรอ เราคงพูดแต่เรื่องความรอด ให้กับทุกคนที่เราเห็นหน้าในแต่ละวันไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะลูกค้า เพื่อนฝูง คนบนรถเมล์ คนตามท้องถนน ฯลฯ เรากลัวจริงๆ ถ้าเกิดเราอธิษฐานเผื่อคนตาบอดกลางถนน แล้วเค้ามองเห็น จะเกิดอะไรขึ้น เรากลัวจริงๆ ถ้าอยู่ๆ เดินกลางตลาด แล้วตะโกนว่า "พระเจ้ารักคุณ" และเทศนาให้กับคนแปลกหน้าฟังทั้งเมือง เค้าจะคิดยังไง ฯลฯ ขนาดฟังคำเทศนา "Overcoming the Fear of Man" ที่บอกว่าการกลัวมนุษย์ เป็นเพราะเรายำเกรงพระเจ้าไม่พอ + ยังมีความต้องการคำยกย่อง ยอมรับจากมนุษย์ด้วยกัน (ซึ่งเป็นบาป) ก็ยังไม่กล้าหาญพอ … ไม่รู้ว่าจะมีวันไหนนะ วันนั้นน่ะ

Diary Dec 4th, 2007สะลึมสะลือ ตื่นมาบ้านเนทนิ่ ก็อธิษฐานเผื่อเนทแล้วก็แวะร้าน เจ้เล้ง ซึ่งเป็นทางผ่าน หาเรื่องเสียตังค์อีกแล้ว … ก่อนถึงที่หมาย ผ่านมอลล์บางกะปิ เกิดอะไรขึ้นใน supermarket ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าสินค้าขึ้นราคาจนโอเว่อร์ และไม่กล้าซื้ออะไรในห้างมาก (แต่ซื้อจนแบกไม่ไหว) รีบกลับไปทำงานดีกว่า

 

Diary Dec 5th, 2007ยังไม่ทันได้ทำงานเลยวันนี้ ก็ออกจากบ้านไปกะครอบครัว ตอนแรกคิดว่าจะไปงานที่สนามหลวง โดยจะไปเยี่ยมบ้านอาอี๊ ที่แถวอนุสเสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังจากอาม่าจากไปหลายปี ไม่ได้ไปที่นี่นานแล้ว ตอนเย็นๆ บังเอิญได้ไปรับเสด็จตรงราชดำเนินด้วย คนรักในหลวงกันมากๆ เลย บางคนแค่เห็นพระพักตร์ เสี้ยวหนึ่งของในหลวงนี่กระโดดดีใจแก้มปริ เรามัวแต่ห่วงถ่าย VDO เลยไม่ทันได้เห็นใครเลย มาเปิด vdo ดู ก็ไม่ติดด้วยง่าา เพราะตำรวจห้ามถ่าย เดินไปสนามหลวง วุ่นวายมั่กๆ จนไม่ทันได้ทำอะไรนอกจากกิน แล้วก็ออกมา ที่ไหนได้ ได้รับเสด็จกลับในหลวงอีก 1 รอบ แต่รอบนี้ คิกๆ ได้เห็นเกือบหมดราชวงศ์ด้วย … อืมม … ถ้าคริสเตียนได้เห็นพระเยซู ซึ่งเป็น King of kings จะเป็นยังไงบ้างนะ??? แล้วประชาชีก็ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ฯลฯ ไชโยกันหลายรอบ + เพลงใหม่ที่เรายังร้องไม่คล่อง + ดูพุไม่ค่อยชัด กลับบ้านตอน 3 ทุ่ม แต่รถขยับที่ราชดำเนินไม่ได้จน 4 ทุ่ม ไม่น่าเชื่อ ถึงบ้านตอนตี 1 หลับตี 2 เหนื่อยสุดๆ

2 Comments »