เกิดอะไรขึ้นในคืนคริสตมาส???
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไร หลังจากที่เต็มล้นด้วยความสุขมาตลอด อยู่ๆ อะไรต่างๆ นาๆ ก็วิ่งเข้ามาในหัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจุดอ่อน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องที่เราไม่สามารถรักพี่น้องซึ่งแลเห็นได้ แล้วจะไปรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นได้ยังไง, เรื่องอนาคต, เรื่องจุดยืนของชีวิต, และโดยเฉพาะเรื่องการรอคอยคำตอบจากพระเจ้า ในสิ่งที่อธิษฐานมาแสนนาน อยากไปจากชีวิตที่เป็นอยู่ อยากไปให้พ้นๆ สิ่งเก่าๆ ไม่อยากเป็นอย่างนี้ เป็นคนที่ผิดหวังในตัวเอง โดยชีวิตไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา และอยากตาย
ได้แต่ถามพระเจ้าว่า พระองค์ทำได้มั๊ย ทำให้ลูกสามารถกลับมามีเรี่ยวแรงได้อย่างเก่า ภายในเวลาแป๊บเดียว
จิตวิญญาณแห้งเหี่ยว และจมปลักกับความสิ้นหวังท้อแท้ เพราะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ตรงข้ามกับคำว่า "ไม่" ใน 1 โครินธ์ 13
ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าเลือกเราจริงๆ ไม่ใช่เพราะทำตัวเองให้ลุกขึ้นมาได้อีก มันเป็นการปกป้องจากพระเจ้าล้วนๆ
มีหนังสือในชั้นเล่มหนึ่งที่ไม่เคยเปิดอ่านเลย เป็นหนังสือ The New Pilgrim’s Progress ที่ไทยแปลว่า "ปริศนาธรรม" ของ John Bunyan เขียนขึ้นในปี 1678 ทันทีที่เปิดมาหน้า 65 มันมีคำพูดที่มาจากพระเจ้าทันทีจริงๆ แต่ก็คั่นไว้ก่อน เพื่อไปตั้งต้นอ่านชีวประวัติของบันยันตั้งแต่ต้น เป็นคนที่ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอะไร
หนังสือเล่าว่า จอห์น บันยัน เป็นพวกหัวแข็ง สาปแช่ง ด่าทอ หมิ่นประมาทพระเจ้า อย่างรุนแรง แต่เมื่อถึงจุดที่พระเจ้าเปลี่ยน เขากลายเป็นคนประกาศเรื่องราวความรักของพระเจ้า ในข่าวประเสริฐขอพระเยซูคริสต์จนถูกจำคุก ต้องโทษ และกลายเป็นนักเทศน์ที่คนอยากฟังมากที่สุดในศตวรรษที่ 17
พระเจ้าไม่ใช่คนที่มาพูดว่า "คุณต้องทำแบบนี้ให้ได้ คุณต้องรักให้ได้" เพราะพระเจ้ารู้ความอ่อนแอในมนุษย์แต่ละคน จนพระเจ้านำให้อ่านเรื่องของบันยันแล้ว ความรักของพระองค์ได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ‘บางส่วน’ บันยันยังใช้เวลาตั้งหลายปีในวงการคริสเตียน กว่าเขาจะพบกับไม้กางเขน เปลี่ยนแปลงชีวิตเป็นคนละคน จนกลายเป็นคนที่เกิดผลมากเสียด้วย ทำให้เรานึกถึงอีตานี่ ที่เราอดทนมาแค่ 1 ปีครึ่ง ถ้าอีก 10 ปีข้างหน้า เค้าเกิดผลมากมาย ก็สมควรจะทนให้ได้
จุดที่สัมผัสความรักพระเจ้า ไม่ใช่ชีวประวัติของบันยัน แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัส เป็นสิ่งที่พระเจ้าปกป้องเราจากมารซาตาน
เพราะสิ่งที่เรารอคอยแสนนานจากพระเจ้า จนจะท้อหมดแล้ว เมื่ออ่านในตอนที่พระเจ้านำแล้ว ได้รับการฟื้นใจอย่างมาก
ตอนแรกอ่านงานเขียนของบันยัน รู้สึกว่าค่อนข้างไร้สาระ แต่พออ่านไปๆ เริ่มเห็นว่า นี่เป็นงานอันชาญฉลาดที่พระวิญญาณนำเขาจริงๆ
เขาสมมุติตัวละครแต่ละฉากได้อย่างน่าทึ่ง โดยเป็นเรื่องราวการเดินทางแห่งไม้กางเขนไปถึงชีวิตนิรันดร์ที่แสนยากลำบาก
นักไขปริศนา นำ คริสเตียน (ชื่อสมมุติของตัวละคร) ไปยังห้องเล็กๆ ที่มีเด็กเล็กๆ 2 คน นั่งอยู่ที่เก้าอี้คนละตัว คนโตชื่อว่า ตัณหา คนเล็กชื่อ อดทน ตัณหาทำท่าไม่พอใจในขณะที่อดทนนั่งเงียบอยู่ คริสเตียนถามว่า "ทำไม ตัณหา ทำท่าเหมือนไม่พอใจ" นักไขปริศนาตอบว่า "ผู้ปกครองที่ดูแลเด็ก 2 คนนี้ให้เขารอคอยสิ่งที่ดีที่สุดจนถึงต้นปีหน้า แต่ ตัณหา ต้องการเดี๋ยวนี้ ส่วนอดทนนั้นเต็มใจรอคอย"
จากนั้นข้าพเจ้าเห็นชายคนหนึ่งมาหา ตัณหา เอาถุงทรัพย์มาวางที่เท้าของเขา ตัณหามองดูด้วยความดีใจ ซ้ำยังหัวเราะเยาะอดทนอย่งเหยียดหยาม แต่ไม่นาน ตัณหาก็ผลาญทรัพย์สมบัติอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนไม่เหลืออะไร นอกจากผ้าขี้ริ้ว
คริสเตียน "ได้โปรดอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันเข้าใจมากกว่านี้เถิด"
นักไขปริศนา อธิบายเพิ่มเติมว่า "เด็ก 2 คนนี้ เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ตัณหา หมายถึง คนของโลกนี้ เขาต้องการสิ่งที่ดีในโลกนี้ทั้งหมดและต้องการเดี๋ยวนี้ด้วย เขาไม่สามารถรอคอยถึงปีหน้าได้ นี่เล็กถึงโลกหน้า คนประเภทนี้ยึดมั่นในภาษิตที่ว่า มีนก 1 ตัวในมือ ดีว่ามีนก 2 ตัวในพุ่มไม้ แทนที่จะเชื่อคำพยานจากพระเจ้าว่า สิ่งที่ดีของโลกนี้กำลังจะมาถึง คุณเห็นมั๊ยล่ะว่าเขาผลาญทรัพย์สมบัติอย่างรวดเร็วจนเหลือแต่ผ้าขี้ริ้ว และจะเป็นเช่นนั้นกับคนประเภทนี้จนกว่าจะสิ้นโลก ส่วน อดทน เล็งถึงคนที่รอคอยโลกหน้า"
คริสเตียน "ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า อดทน นั้นฉลาดกว่า ประการแรก เขารอคอยสิ่งที่ดีที่สุด และประการที่สอง เขาจะได้รับสง่าราศีในขณะที่ ตัณหา ไม่ได้อะไรเลย นอกจากผ้าขี้ริ้ว"
นักไขปริศนา "คุณอาจจะเพิ่มอีกประการหนึ่งได้ว่า สง่าราศีของโลกหน้าเป็นสิ่งถาวรและไม่ดับสุญไป ในขณะที่สิ่งดีๆ ของโลกนี้จะเสื่อมสูญไปในพริบตา ฉนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่ ตัณหาจะหัวเราะเยาะอดทน เพราะคนต้นจะกลายเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลายเป็นคนต้น เพะาะว่าไม่มีใครจะมาแซงหน้าเขาได้อีก เขาผู้ซึ่งรับส่วนแบ่งแล้ว จำต้องมีเวลาใช้ส่วนแบ่งนั้น แต่เขาผู้รับส่วนแบ่งตอนท้ายจะได้ใช้ตลอดนิรันดร์ เปรียบเหมือนเรื่องเศรษฐีกับลาซารัสไง เมื่ออยู่บนโลก เศรษฐีได้รับสิ่งที่ดีตลอดชีวิต ในขณะที่ลาซารัสได้รับแต่สิ่งที่เลวร้าย แต่บัดนี้ ลาซารัสมีความสุขสบาย ในขณะที่เศรษฐีได้รับความทุกข์ทรมาน"
คริสเตียน "ถ้าเช่นนั้น ฉันคิดว่าเราไม่ควรโลภสิ่งต่างๆ ในตอนนี้ ควรจะรอสิ่งที่ดีกว่าที่จะมาถึงใช่ไหม?"
นักไขปริศนา "คุณพูดถูกแล้ว สิ่งที่คุณเห็นตอนนี้ เป็นสิ่งชั่วคราว สิ่งที่คุณยังไม่เห็นนั้นสิเป็นเรื่องนิรันดร์ สิ่งที่คุณเห็นตอนนี้เป็นสิ่งที่ต้องตาต้องใจความต้องการฝ่ายเนื้อหนังของเรา แต่สิ่งที่กำลังจะมานั้นเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนสำหรับความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นได้จึงเป็นมิตรกับคนฝ่ายโลกทันที แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นจะอยู่ห่างไกลคนฝ่ายโลก"
ข้าพเจ้าเห็นนักไขปริศนาพาคริสเตียนไปยังสถานที่ซึ่งมีไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่ข้างๆ กำแพง มีคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น พยายามราดน้ำดับไฟอยู่ กระนั้นก็ตาม ไฟยังคงลุกโชติช่วง โหมแรงขึ้น และร้อนขึ้น
คริสเตียน "นั่นหมายความว่าอะไร"
นักไขปริศนา "ไฟนั้นเปรียบเหมือนงานของพระคุณในจิตใจ ส่วนผู้ราดน้ำอยู่คือซาตาน ฉันจะอธิบายว่าทำไมไฟจึงลุกโชติช่วงขึ้นและร้อนขึ้นอยู่ตลอดเวลา"
เขาพาคริสเตียนไปข้างหลังกำแพง พบชายคนหนึ่งมีน้ำมันอยู่ในมือ เขาราดน้ำมันไปที่กำแพงอย่างเงียบๆ
คริสเตียน "นี่หมายความว่าอะไรอีกล่ะ"
นักไขปริศนา "ชายผู้นี้คือพระคริสต์ ท่านจะรักษาการงานในจิตใจนั้นไว้อย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำมันแห่งพระคุณ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ามารซาตานจะทำลายเราอย่างไร จิตใจของคนของพระองค์ก็ยังคงยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดี แต่เนื่องจากผู้ที่ทำหน้าที่ผดุงรักษาไฟให้ลุกโชติช่วงนั้นอยู่ข้างหลังกำแพง จึงเป็นการยากสำหรับคนที่ถูกทดลองจะเห็นงานของพระคุณที่ดำรงอยู่ในจิตใจของเขา"
…..
…
ข้าพเจ้าเห็นทั้ง 2 ข้างทางที่คริสเตียนเดินผ่านไป มีกำแพงที่เรียกว่า กำแพงแห่งความรอดทอดยาวไปตลอดทาง คริสเตียนวิ่งขึ้นไปอย่างยากลำบากเพราะภาระหนักบนหลังเขา
เขาวิ่งขึ้นไปจนถึงยอดเขาซึ่งมีกางเขนปักอยู่ที่นั่น ส่วนเชิงเขานั้นมีหลุมฝังศพ เสี้ยววินาทีที่คริสเตียนไปถึงกางเขนนั้น ภาระหนักบนหลังของเขาก็หล่นกลิ้งลงมาถึงปากหลุมศพ และจมหายเข้าไปในนั้นจนลับตา
คริสเตียนดีใจและโล่งใจมาก จึงตะโกนก้องด้วยความลิงโลดว่า "พระเจ้าได้ประทานการพำนักโดยความทุกข์ของพระองค์ และประทานชีวิตโดยความตายของพระองค์" คริสเตียนยืนนิ่งอยู่ที่นั่นพักหนึ่ง และประหลาดใจที่เพียงมองกางเขนก็สามารถปลดเปลื้องภาระหนักได้อย่างง่ายดาย เขายืนเฝ้าดูอยู่จนน้ำตาไหลอาบแก้ม
นี่คืองานเขียนของผู้ที่เคยแช่งด่าพระเจ้า … ขอบคุณพระองค์ที่ช่วยปกป้องลูก
อันที่จริง ลูกกำลังทำตัวเหมือน "ตัณหา" ที่ท้อแท้กับสิ่งที่ลูกรอคอย และจะเอาเดี๋ยวนี้
ถ้าพระบิดาในสวรรค์ไม่ดีจริง คงหยิบยื่นสิ่งน่าอันตรายที่เราต้องการทันใดให้ก่อนไปแล้ว
แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เบื้องหลังพระองค์ราดน้ำมันในกองเพลิงนั้นอยู่ ให้รอคอยสิ่งที่เรียกว่า "The Best!"
เมื่อลูกได้พบพระองค์ที่ "กางเขน" อีกครา ภาระของลูกก็ถูกวางลงด้วยความเชื่อที่พระองค์ส่งตรงให้
Thank You for the Cross where the burden rolled away
พระองค์คือสุดยอดแห่งความน่ารัก จนลูกอดถามไม่ได้ว่า "How You love me like this!!!???"