ขอบคุณพระเจ้า สำหรับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ขอบคุณที่สอนลูกให้รู้ในพระคุณ และทำให้รู้ว่าลูกไม่ได้อยู่บนโลกนี้คนเดียว
ลูกไม่ได้ต่อสู้กับสงครามนี้คนเดียว แม้มันจะผิดหรือถูก มันจะดีหรือไม่ ลูกก็ได้เลือกแล้ว และสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ
"ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า"
สิ่งที่เคยทำมาในอดีต ไม่ว่าใครจะชื่นชมมากมายแค่ไหน ใครจะบอกว่ามันเจ๋งมากๆ ผลงานอะไร ก็ขอลืมมันเสียและคอยลืมอยู่เสมอ
สิ่งเลวร้ายที่สุด ที่เคยทำไว้ ก็จะลืมมันเช่นกัน เพราะพระเจ้าให้อภัยแล้ว ทำไมต้องไม่ให้อภัยตัวเอง? ทุกอย่างเริ่มใหม่ได้เสมอ
น่าแปลก ที่ตลอดเวลาที่อยู่ในการทดลอง แม้จะตามใจตัวเอง ไม่เชื่อฟัง ทำสิ่งที่เป็นเนื้อหนัง มีรูปเคารพในใจ ฯลฯ
กลับพบว่าความรักของพระเจ้าไม่ได้ลดลง และพระเจ้ายังคงตรัสกับเราบ่อยเท่ากับเวลาที่เราดำเนินชีวิตตามปกติ
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสะบาโตอีกวัน (June 28th, 2009) ที่ทรงนำให้ไปคริสตจักรที่ไม่เคยไปร่วมนมัสการเวลาปกติ … ใจสมาน 68
เพราะได้มีโอกาสไปกันทั้งครอบครัว รวมทั้งพี่สาวคนหนึ่งที่ห่างหายจากคริสตจักรไปนาน ก็ได้ไปโบสถ์ใกล้ๆ บ้านเค้าด้วยกัน
เรื่องอัศจรรย์มีอยู่ว่า ในช่วงแห่งการนมัสการ คริสตจักรนี้ใช้เพลงเตรียมใจนานมากก และเราก็ยังไม่ได้รู้สึกอินนนอะไรเท่าไหร่
แต่ขณะที่จะเริ่มนมัสการด้วยเพลงเร็ว ผู้นำพูดพระคำท่อนหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับความฝันที่พระเจ้าประทานให้เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน
ประกอบกับ ตลอดเวลาที่ผ่านมา มักจะมีเพลงท่อนนึงดังในหัวอยู่เสมอ "แม้ล้มลง แม้ล้มลง ท่านจะไม่ถูกทอดทิ้ง" ดังซ้ำๆ กันบ่อยๆ
วันเสาร์จึงไปค้นเนื้อเพลงที่พิมพ์ไว้ มันชื่อเพลงว่า "อันทางของคนชอบธรรม" แต่ก็พบว่าที่เราได้แค่ท่อนนั้น เพราะที่เหลือจำทำนองไม่ได้
พอพระคำข้อนั้น + คำพูดของคนนำจบ เพลงที่ว่าก็ขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ 100 วัน 1000 ปี ไม่มีการนำเพลงสมัยเราเป็นเด็กมาใช้
แต่วันเมื่อวาน กลับมีตั้งหลายเพลง ใจความสำคัญของเพลงนี้คือ "We are justified by FAITH!" และในที่สุดก็จำทำนองได้แล้ว 555
ช่างเหลือเชื่อจริงๆ ขณะที่ร้องเพลงนี้ น้ำตาร่วงตลอดงาน ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน พระเจ้าก็ยังอยู่กับเรา ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง พระเจ้ายังตรัสกับเรา
พระเจ้า พระองค์ช่างรักลูกจริงๆ เลยนะคะ แดดดี้! ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลูกก็คิดถึงเรื่องบุตรน้อยหลงหายทุกวัน
ความรักของคุณพ่อนั้น วิ่งออกมากางแขนต้อนรับลูกที่หลงผิดด้วยรอยยิ้ม และ "ความเป็นพ่อ-ลูก" ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง
"เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ เขาทั้งหลายต่างก็มีความรื่นเริงยินดี" [Luke 15:24]
ส่วนพระคำที่ได้รับในวันนี้ เกี่ยวกับการรับใช้ในหนังสือกิจการ ฤทธิ์เดชในการทรงสถิตของพระเจ้าเคลื่อนไหวเมื่อพี่น้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
ไม่มีการนินทา ว่าร้าย โกรธ เกลียด ไม่รักกันท่ามกลางคริสตจักร เรื่องนี้เพิ่งได้รับจากการเฝ้าเดี่ยวเมื่อวันก่อน "การพูดความจริงต่อหน้า"
ในหนังสือฉบับศึกษาพระธรรมกาลาเทียที่บอกว่า "บางครั้งเราหลีกเลี่ยงการประชุมปรึกษาหารือกับคนอื่นๆ เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหา
และโต้เถียงกันขึ้น เราควรจะอภิปรายแผนงานและการกระทำของเราอย่างเปิดเผยกับเพื่อนที่ปรึกษา หรือผู้ให้คำแนะนำ การสื่อสารที่ดี
ช่วยทุกคนให้เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น ลดการนินทา และสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายในคริสตจักร และไม่มีการลอบแทงกันข้างหลัง"
ปาร์ตี้ตอนบ่ายวันอาทิตย์ ที่จัดขึ้นที่บ้าน เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศเข้ากลุ่ม ที่ตอนบ่ายๆ รื่นเริงด้วยเสียงเพลง และเอนจอยอีทติ้ง
พอตกดึก ไม่รู้เป็นมายังไง กลับกลายเป็นการทรงนำของพระเจ้า ให้ทุกคนเปิดใจพูดเรื่องที่ปกติไม่ได้พูดกันต่อหน้าออกมา
ก็ขอบคุณพระเจ้า ทั้งที่ประกาศไว้ว่า ถ้าไม่ได้อธิษฐานร่วมกันก่อนออกจากบ้าน ไม่ให้กลับ แต่พอ 5 ทุ่มปั๊บ ดันลืมซะงั้น กลับบอกพี่น้องว่า
"ไล่ ไล่ ไล่ กลับบ้านกันได้แล้ว" … ตกดึกเลยนอนไม่ค่อยจะหลับเลย แต่ต้องข่มตาให้ได้ เพราะวันนี้มีอบรม — ขอบคุณพระเจ้า
"ว่ากันต่อหน้า ดีกว่ารักกันลับๆ บาดแผลที่มิตรทำก็สุจริต" [Prov 27:5-6]
อ้อ … ช่วงที่ผ่านมา พระเจ้าก็ตอบเรื่องอันซับซ้อนที่ผ่านมามากมาย ว่ามันทำไม อะไร ยังไง รายละเอียดไม่ขอกล่าวในที่นี้
แต่ต่อสู้ดิ้นรนกับคำว่า "วินัย" และ "รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ" ดังที่ตั้งเป้าตอนต้นปีมาจนครึ่งปีได้ ณ บัดนาว
ข้อสรุปของอะไรๆ ที่อยากฝากไว้ก็คือ
"เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆ ไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา
เพราะเจ้าพูดว่า ‘เราเป็นคนมั่งมีได้ทรัพย์สมบัติมาก และเราไม่ต้องการสิ่งใดเลย’
เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนแร้นแค้นเข็ญใจ เป็นคนขัดสน เป็นคนตาบอด และเปลือยกายอยู่
เราเตือนสติเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วจากเรา เพื่อเจ้าจะได้เป็นคนมั่งมี
และให้เจ้าซื้อเสื้อผ้าสีขาว เพื่อนุ่งห่มให้พ้นจากความอับอายที่เจ้าต้องเปลือยกายอยู่
และซื้อยาทาตาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้แลเห็น" [Rev 3:16-18]
ขอบคุณพระเจ้า ที่อยู่ในจุดที่เย็นที่สุด เย็นสุดๆ ไม่รัก ไม่ยำเกรง ไม่มีอะไรเหลือทั้งสิ้น เผื่อจะร้อนขึ้นมาบ้าง