Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

การวิ่งแข่งเพื่อชัยชนะ และบทเรียนแห่งกางเขน

1. หลังจากที่คนๆ หนึ่งได้รับความรอดแล้ว (รับด้วยปาก เชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า) พระเจ้าจะวางเราไว้ที่ลู่วิ่งเพื่อวิ่งแข่ง ซึ่งคนที่ได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว จึงจะลงวิ่งแข่งได้ ผลสุดท้ายของการวิ่งแข่ง คือ มีบางคนได้รับมงกุฎ บางคนไม่ได้รับ (1 โครินธ์ 9:24-25) การพูดจา การประพฤติ ความคิด การดำเนินชีวิต ฯลฯ ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวของกับการที่จะได้รับอาณาจักร และมงกุฎ แต่ใครก็ตามที่ไม่วิ่งถึงที่สุด เขาจะไม่ได้รับอาณาจักรนั้น
2. ความรอดอันยิ่งใหญ่ใน ฮีบรู 2:3-4 ไม่ใช่เพียงบาปได้รับการอภัย แต่ยังชี้ถึงอาณาจักรอีกด้วย อาณาจักรคือเป้าหมายที่เราวิ่งแข่งนั่นเอง การที่พระองค์ฟังคำอธิษฐาน และกระทำการอัศจรรย์ ก็เพื่อพิสูจน์ว่า การที่วิ่งแข่ง เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ผู้ชนะจะรับสง่าราศีร่วมกับกษัตริย์ ส่วนผู้พ่ายแพ้นั้น ถึงจะได้รับความรอด แต่ไม่มีส่วนในสง่าราศีและอาณาจักร
3. ลู่วิ่งที่อยู่ตรงหน้า จะต้องวางของหนักทุกอย่างลง และละทิ้งความบาปที่ผูกมัดเราอยู่
บาป เป็นสิ่งขัดขวางความก้าวหน้ามากที่สุด ทำให้สูญเสียคุณสมบัติในการวิ่ง เป็นการผิดกติกา ต้องถูกไล่ออกจากสนามแข่งขัน และอยู่บนพื้นฐาน โรม 6:11 นับว่าตายต่อบาปแล้ว คนที่มีความเชื่อจริงๆ เป็นคนที่ยอมทนทุกข์ และยินดีรับความอัปยศ แต่ไม่ยอมรับความสุขในความบาป
ของหนัก เป็นสิ่งที่หน่วงเหนี่ยว ทำให้วิ่งได้ไม่เร็ว หรือไม่ก้าวหน้า วิ่งได้ไม่ดี และเสียแรงเปล่าๆ ได้แก่เหล่าความกระวนกระวาย ทรัพย์สมบัติ เพื่อนฝูง การงาน ฯลฯ
4. การวิ่งแข่งไม่เพียงแต่ต้องวางของหนักลง แต่ยังต้องวิ่งด้วยความอดทน เพราะว่าบำเหน็จนั้น จะถูกมอบเมื่อเราถึงปลายทาง คือเมื่อวิ่งถึงก้าวสุดท้าย (ฟิลิปปี 3:12) ถ้ายังไม่ถึงสุดปลาย จะพูดไม่ได้ว่าชนะแล้ว … การวิ่งแข่งไม่ใช่การเดิน แต่เป็นการวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่าเสียดายคือ ความร้อนรน การตรากตรำ ซึ่งอยู่นอกเหนือพระประสงค์พระเจ้า
5. *** ในลู่วิ่ง ตาของเราจะต้อง "เพ่งมองที่พระเยซู ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มและผู้สำเร็จความเชื่อของเรา" เราต้องทูลพระเจ้าให้เปิดเผยว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ใน พระคริสต์ ไม่ว่าจะเป็น ความบริสุทธิ์ การให้อภัย ความชอบธรรม การมีชัยชนะ การเจิม ทุกสิ่งล้วนขึ้นกับพระองค์ ถ้าแยกออกจากพระเยซูแล้ว เราจะวิ่งไปไม่ได้เลย … เพราะเหตุความรีบร้อนจะมีความก้าวหน้า จึงทำให้เราหวนคิดถึงสภาพการณ์ของตัวเองอยู่ตลอดโดยไม่รู้ตัว แต่การเพ่งพินิจที่พระเยซู คือ การไม่มองตัวเอง ผู้ที่รู้ว่าอะไรคือการไม่มองตัวเอง ก็เป็นสุขแล้ว
6. เหตุที่พระเจ้าทรงให้เราเพ่งดูที่พระเยซู เพราะต้องการให้สนใจด้านความเป็นมนุษย์ของพระองค์ คือ การที่พระเยซูนอบน้อม "ทนรับกางเขน ไม่เห็นว่าความละอายเป็นสิ่งสำคัญ" พระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงมักจะพาเราให้พบกับพระเยซูเป็นพิเศษ การที่เราปรนิบัติด้วยความซื่อสัตย์ เนื่องจากบำเหน็จ จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน
> เปาโลจึงบอกว่า "ลืมทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง โน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า" เพื่อจะไปรับรางวัลที่พระเจ้าเรียกให้ไปรับ … องค์พระเยซู ทนรับ เพื่อความยินดีที่จะปรากฎ … แล้วท่านเคยละทิ้งสิ่งใดเพื่อสง่าราศีของอาณาจักรที่อยู่เบื้องหน้าไหม?
7. ***** ความอับอายเป็นสิ่งที่มนุษย์ให้กับพระองค์ แต่พระองค์ไม่ทรงเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ กางเขนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ พระองค์จึงทรงทนรับได้ ถูกมนุษย์เข้าใจผิด ขับไล่ ฟ้องร้อง ถ่มน้ำลายใส่ ปรับโทษ แต่พระองค์ไม่สนพระทัย
 > เราเป็นคนที่รักษาหน้าของตัวเองยิ่งนัก กลัวความละอาย กลัวถูกคนเข้าใจผิด กลัวการวิพากษ์ วิจารณ์ พยายามเป็นคนสมบูรณ์ ไม่ยอมเสียสละตัวเอง ไม่ยอมรับความละอายเพื่อเห็นแก่พระเจ้า ถึงแม้จะรับก็ฝืนใจ แต่ไม่ยอมต้อนรับความละอายที่ทำให้ชีวิตฝ่ายจิตของเราร่วงโรย โดยไม่เปิดปากพูดอะไร ไม่โต้แย้ง ไม่หลีกเลี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น
 > เราไม่ยอมแบกกางเขนที่พระเจ้าประทาน และหารู้ไม่ว่า ทุกสิ่งที่มาถึงตัวเรา ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงอนุญาตแล้ว  สิ่งที่ทำให้ความหวังของเราสูญสลาย ล้วนเป็นกางเขนที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เรา เราจัดการกับสิ่งนี้อย่างไร? เราต่อสู้ในจิตใจใช่หรือไม่? เมื่อเราพบคนอื่นเราก็บอกเล่าให้เขาฟังใช่หรือไม่?
 > ถ้าเราทนรับตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเหมือนพระเยซูได้ทนรับกางเขนของพระองค์ ชีวิตธรรมชาติของเรา ก็จะได้รับการจัดการมากขึ้น การดิ้นรนต่อสู้ด้วยกำลังเพื่อให้หลุดพ้นนั้น ทำให้จุดประสงค์ของพระเจ้า ไม่สามารถสำเร็จ ทำให้กางเขนมาถึงตัวเราโดยเปล่าประโยชน์ ไม่สามารถสำเร็จสิ่งที่พระเจ้าต้องการได้
8. พระเจ้าจัดวางพระเยซูไว้ตรงหน้าของเรา เพื่อให้เราเอาอย่างพระองค์ โดยบอกเราว่า "จงคิดเปรียบเทียบกับพระองค์ผู้ทรงทนให้คนบาปต่อต้านพระองค์เช่นนั้น เพื่อจะได้ไม่เหนื่อยหน่ายหรือท้อแท้ใจ" การตอบสนองที่เราได้รับ ไม่มากกว่าที่พระเยซูเจ้าทรงได้รับก็ดีพอแล้ว
 > สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือความเหนื่อยหน่ายหรือความท้อใจ การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ เมื่อสิ่งที่ต่อต้านได้รุมเร้ากันเข้ามา จนคล้ายกับจะรับมือไม่ไหว จึงได้ปล่อยทุกอย่างให้หละหลวม และไม่วิ่งแข่งอย่างจริงจัง เพื่อได้รับมงกุฎแห่งสวรรค์อีกต่อไป
 > ใครคือผู้ได้รับการยกย่องมากที่สุด? ก็คือคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วยังลุกขึ้นมาวิ่งต่อจนวิ่งได้ที่หนึ่ง คนเช่นนี้จะได้รับการยกย่องตลอดไป แม้สะดุดล้มแล้วก็ตาม … เราทุกคนล้วนวิ่งอยู่บนเส้นทางนี้ และสิ่งนั้นยังนับอะไรไม่ได้ ต้องรอจนถึงเส้นชัยแล้วจึงจะตัดสิน
 > … ดังนั้น เราอย่าได้หมดอาลัยตายอยากไม่ว่าสาเหตุใดๆ จนทำให้เหนื่อยหน่ายท้อใจ เราจะต้องเพ่งพินิจมองที่พระเยซู ผู้ซึ่งริ่เริ่มและผู้สำเร็จความเชื่อของเรา วิ่งเส้นทางที่วางไว้ตรงหน้าของเรา
————————-
Mar 25th, 2006
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับกางเขน
ขอบคุณพระเจ้าที่ส่องสว่างเข้ามาในจิตวิญญาณ และเปิดตาออก
ขอบคุณพระเจ้าที่มอบกุญแจแห่งชัยชนะ … คือ องค์พระเยซู ผู้ที่ยอมทุกอย่างเพื่อนคนบาปอย่างข้าพระองค์
2 Comments »

การกล่าวโทษไม่ได้มาจากพระเจ้า

Condemnation is not from GOD!
 
"ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีก ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย" [Romans 8:33-34]
 
"และมาถึงพระเยซูผู้กลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมาถึงพระโลหิตประพรมที่มีเสียงร้องอันเปี่ยมด้วยคุณ ไม่เหมือนเสียงโลหิตของอาแบล" [Hebrews 12:24]

"เพราะว่าผู้ที่กล่าวโทษพวกพี่น้องของเรา ต่อพระพักตร์พระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น ก็ได้ถูกผลักทิ้งลงไปแล้ว" [Rev 12:10]

 
พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ไม่เคยกล่าวโทษเหมือนอย่างโลหิตอาแบล
ผู้ที่อยู่ใต้พระโลหิต ไม่รับคำฟ้องร้อง กล่าวหาใดๆ เพราะมันไม่ได้มาจากพระเจ้า
มารร้ายก็กำลังจะถูกกลืนถึงปราชัย และถูกผลักทิ้งลงไปในนรก
หากแต่……….จง…………..
 
"จงรักษาตัวไว้ให้ดำรงในความรักของพระเจ้า คอยพระกรุณาของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา จนกว่าจะได้ชีวิตนิรันดร์" [Jude 21]
 
"แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว และได้เชื่ออย่างมั่นคง ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใด และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์"
"ดังนั้นเราอย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลย แต่จงตัดสินใจเสียดีกว่า ว่าจะไม่วางสิ่งซึ่งทำให้สะดุด หรือสิ่งกีดขวางทางของพี่น้อง" [Romans 14:13]

"แต่เมื่อพวกมหาปุโรหิต และพวกผู้ใหญ่ได้ฟ้องกล่าวโทษพระองค์ พระองค์มิได้ทรงตอบประการใด"

ด้วยพระโลหิตพระเยซู เจ้าไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในชีวิตข้า อ้ายซาตาน จงถอยไป

3 Comments »

เวลา…พิสูจน์อะไรบางอย่าง

บางเวลา ช่างแสนจะทรมาน เมื่ออนาคตยังมาไม่ถึง ไม่เข้าใจ ก็สับสน
บางเวลา ก็สุดจะแฮปปี้ ทั้งที่สถานการณ์รอบข้าง ไม่ได้เป็นใจเสียเลย
มีคนบอกว่า การเติบโต ต้องใช้เวลา และไม่มี Shortcut ขัดใจอย่างแรง!

 เคยเห็นมั๊ย เด็ก 5 ขวบที่รู้สึกว่าอยากจะเรียน Calculus ทั้งที่ยังไม่ได้เรียนเลขยกกำลัง
ในปัญญาจารย์บอกว่า "มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์" และ "จิตใจของคนที่มีสติปัญญา ก็เข้าใจวาระและวิธีการ" อืมม แต่เด็กอย่างเรามัน… เลยไม่เข้าใจน่ะ แบบว่าอยากเรียนไปถึง diff แล้ว แต่ถอดรูทยังไม่เป็น
 บางครั้งอึดอัด สับสน ทำไมบทเรียนเก่าๆ ต้องผ่านเข้ามา อีกทั้งบทเรียนใหม่ก็เหมือนจะยากยิ่งนัก บางบทเรียนไม่คิดมาก่อนว่าจะเจอขนาดนี้ รู้แต่ว่าพระเจ้าสอนหลายสิ่งหลายอย่าง พระองค์นำเข้ามาให้เรียน แสดงว่าพระองค์จะทำให้เราผ่านพ้นไปได้ แต่ก็อยากผ่านไวๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงตัวเรามันเจ็บปวด…เนื้อหนังที่ถูกทำลาย ให้ตายต่อบาป ตายต่อโลกนี้มันต่อสู้…เหมือนคนท้องใกล้คลอดเลย พระคัมภีร์บอกว่าก่อนคลอดก็เจ็บปวด แต่พอคลอดแล้ว ก็ชื่นชมยินดีสิ่งที่ได้กำเนิดออกมา … ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะพระองค์ ลูกอยากเป็นต้นไม้ที่เกิดผลเสียที แต่ผลดีนะ ไม่อยากเป็นต้นที่ถูกโค่นทิ้ง

มาทบทวนดูชีวิตแล้ว บทเรียนใหญ่คือ พระเจ้ากำลังสอนให้รักคนอื่นได้แบบจริงๆ แม้คนที่ไม่ดีกับเรา คนไม่น่ารัก คนเนื้อหนัง คนสารพัดแบบ และต้องผ่านบทเรียนนี้ไปให้ได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องเดิม "รักคนอื่นที่เค้าเป็น ดังที่พระเจ้ารักที่เราเป็น" คือเราไม่ได้ดีอย่างที่เราเองคาดหวัง เรายังมีนิสัยส่วนตัวที่เราเองก็เกลียดชัง ดังนั้น คนอื่นที่เค้าก็มีส่วนไม่ดี พระเจ้ากำลังทำให้เรารักเค้าให้ได้ (ทั้งๆ ที่เหมือนจะเคยรักได้ไปแล้ว แต่ก็วนอยู่ในถิ่นทุรกันดารอีก) ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันอันน่าตื่นเต้นทั้งสามวันที่ผ่านมา ขอพระเจ้าให้ผ่านบทเรียนนี้ไปได้ด้วยดีเถิด ………. อาเมน

7 Comments »

I would go to the end of the earth

Love unfailing … Overtaking my heart
You take me in … Finding peace again
Fear is lost in all You are

* And I would give the world to tell Your story
Cause I know that You’ve called me
I know that You’ve called me
I’ve lost myself for good within Your promise
I won’t hide it, I won’t hide it

** Jesus, I believe in You and I would go…
To the ends of the earth
To the ends of the earth
For You alone are the Son of God
And all the world will see
That You are God
You are God.
Leave a comment »

Give Thanks

ขอบคุณพระเจ้า…เอาแค่วันนี้วันเดียว ก็มีเรื่องขอบคุณพระเจ้ามากมาย

 ขอบคุณพระเจ้า ลูกรู้ว่าพระองค์ตอบคำอธิษฐานเรื่องเก้แล้ว : เป็นเรื่องเหมือนน่าตกใจ แต่แอบขอบคุณพระเจ้าลึกๆ ที่เราจะออกประกาศวันอาทิตย์ที่จะถึง แล้วเก้นัดกับเพื่อนไปเที่ยวภูเก็ตพอดี แต่เก้ดันขับรถชนโดยไม่มีใบขับขี่ เสียงของน้องที่โทรมาให้อธิษฐานเผื่อ ดูเป็นกังวลทีเดียว แต่เชื่อว่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โดยที่เราจะได้ทำงานร่วมกันอาทิตย์นี้ด้วย

 ขอบคุณพระเจ้า ที่มีโอกาสได้รู้จักกับฟัสมากขึ้น ได้รับคำตอบบางอย่างจากพระเจ้าผ่านคำพูดของเค้าในวันนี้ถึง 2 คำตอบด้วย หวังว่าพระเจ้าจะดูแลเค้า ให้เติบโตในทางพระองค์มากขึ้น และได้ทำงานร่วมกันอีกมาก ขอพระเจ้าปลอบประโลม ให้เข้มแข็งมากขึ้น และพ้นจากปัญหาต่างๆ ไปได้ด้วยดี

 ขอบคุณพระเจ้า ที่เห็นภาพอนาคตบางอย่างของกลุ่ม ขอบคุณที่พระเจ้ากำลังใช้พวกเราอย่างมาก อีกทั้งให้ของประทานสำหรับแต่ละคนอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะวันนี้ได้เห็น "ถ้อยคำแห่งความรู้" ผ่านการสังเกตุวิญญาณของแชมป์ เห็นหัวใจแห่งความรักของทุกคน ที่จะนำไปให้ชาวโลก ที่ยังไม่เคยรู้เรื่องราวของพระองค์

 ขอบคุณพระเจ้า ที่เตือนสติลูก ในเรื่องการประพฤติทางวาจา ที่สอนลูกด้วยความรักอันอ่อนโยน ไม่ให้หลงกลมารร้าย ด้วยการรักและอภัยผู้อื่นอย่างง่ายดาย พระองค์บอกเมื่อวานว่า "เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร จงรักซึ่งกันและกันฉันนั้น" และวันนี้พระองค์บอกว่า "เรารักเพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน" เอาความรักอันไม่หมดสิ้นของพระเยซูไปรักคนอื่น มันง่ายมากเลยนะ 555

 มากที่สุด ขอบคุณพระเจ้า ที่มีคนที่เราห่วงใยได้รับความรอด ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ พี่ภูคินจะเป็นแสงสว่างส่องพระคริสต์ ให้คนอื่นได้เห็นต่อไป รู้สึกดีใจที่สุด ที่พระเจ้าทำงานของพระองค์อยู่เสมอ สำแดงให้เห็นว่าได้รักเขาอย่างไร เป็นสิ่งล้ำค่ามากๆ เพราะพระเยซูบอกเองนี่หน่าว่า "พระองค์เป็นทางนั้น" เป็นทางเดียวที่เราจะเข้าสู่อาณาจักรที่รอคอยผู้เชื่อทุกคน ยังมีคนอีกมาก ที่ยังจมอยู่ในทุกข์ โดยไม่รู้ว่ามีพระเจ้าคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ เพราะยังไม่มีคนไปบอก

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ ผู้ดำรงด้วยความรักมั่นคง
ขอให้ชาวประชาชาติ ได้เห็นความรักที่ไม่มีใครเหมือนด้วยตัวเอง
เพื่อเค้าจะได้รู้ว่า ความรักนั้น อยู่ไม่ไกลเลย เพียงแต่ต้อนรับพระเยซูเข้าไปในชีวิตเท่านั้น

2 Comments »

รักของมนุษย์ไม่เคยพอ แต่รักของพระเจ้าก็เต็มล้น

วันนี้เป็นวันดีอีกหนึ่งวัน (Mar 12th, 2006) ที่ได้สัมผัสความรักอันเต็มล้นของพระเจ้า แม้เวลาก่อนจะเขียน Blog มีเรื่องขัดๆ ในความคิด เกี่ยวกับหนามยอกอก แต่ตอนนี้ เมื่อคิดถึงความรักพระเจ้า มันลบล้างเรื่องเลวร้ายได้จริงๆ เหมือนใน เปโตรที่บอกไว้ว่า "ความรักลบล้างความผิดมากมายได้" รักทุกคนในสิ่งที่เค้าเป็น เพราะว่าพระเจ้าก็รักเราอย่างที่เราเป็น อย่าเลือกที่รัก มักที่ชัง เพราะพระองค์สอนให้รักศัตรู รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

เดี๋ยวนี้เวลาไปโบสถ์ แล้วเจอพี่น้องคนใดคนหนึ่ง อยากรู้สึกเข้าไปสัมผัส เข้าไปกอด อย่างไม่มีฟอร์มซักเท่าไหร่ อบอุ่นจริงๆ ในยามที่พระเจ้าเทความรักลงมา เมื่อเรารู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดนี้ ความรักของเราก็เอ่อล้นสำหรับคนรอบข้างจริงๆ รู้สึกรักๆๆๆ ไปหมด อย่างไม่มีเหตุผลเลย ก็พระเจ้ารักเราไม่มีเงื่อนไขจริงๆ นี่หน่า

วันนี้น้องๆ ที่รักยิ่งทั้งสอง เป้ กับ แชมป์ ได้โอกาสรับบัพติศมากันซักที หลังจากเชื่อและติดตามพระเยซูมาได้ 1 ปีกว่าๆ พักนี้แชมป์พูดน้อยลงไปมาก แต่ตอนที่เป็นพยานเรื่องการมาพบพระเจ้า เป็นพระพรมากกว่าที่คิด เล่นเอาสมาชิกหลายแหล่ในโบสถ์ น้ำตาซึมกันเป็นแถบๆ (เราก็แอบน้ำตาไหลนิดนึง) ส่วนเป้ ที่ปกติแทบจะไม่เล่าคำพยาน เพราะชอบบอกว่ามาพบพระเจ้าเอง โดยไม่มีเรื่องราวอัศจรรย์โดดเด่นเลย วันนี้กลับพูดได้ดีมาก ตอนหนึ่งที่น้องบอกว่าพระเจ้าตรัสเป็นเรห์มาว่า "ความรักของมนุษย์หาเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ แต่ความรักของพระเจ้าก็เพียงพอตลอดไป" ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงสร้างชีวิตใหม่กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ แม้ว่าพวกเราจะเคยเลวร้ายมามากขนาดไหน

ส่วนพี่ภูคิน ได้ไปโบสถ์รอบแจ็คพอตพอดี วันนี้เทศน์กันเรื่องประกาศ สร้างสาวก ออกแนวภายในเกินไป คงงงไปหลายยก แต่พี่เค้าก็น่ารัก แม้ดูเกร็งๆ นิดนึง ยังไม่ค่อยชินมั๊ง ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดเตรียมหลายๆ อย่าง และมีโอกาสได้คุยกับฟัสด้วย รู้สึกว่าพระเจ้ารักเค้านะ แล้วก็อยากเรียกออกไปทำงานด้วยกันกับพวกเรา

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าจะใช้พวกเรา ให้ออกไปบอกกับชาวโลกทุกๆ ท่านว่า "พระเจ้าเป็นความรัก" โดยการสละชีวิตพระเยซู เพื่อพิสูจน์รักแท้อันยิ่งใหญ่

"เราทั้งหลายรัก  ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน … พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย" 1 ยอห์น 4:19

2 Comments »

วิธีพิสูจน์ความจริง เพื่อยุติข้อโต้แย้ง (1)

มีเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันตลอดทุกยุคทุกสมัย เป็นเรื่องที่มีความสำคัญถึงขนาดที่ว่า คำตอบของมัน สามารถกำหนดชะตากรรมของทุกคน ในชั่วอายุนั้นได้ตลอดไปเป็นนิตย์เลยทีเดียว คือคำถามที่ว่า "อะไรคือความจริง"? ความเชื่อแบบไหนกันแน่ที่ถูกต้อง? พระเจ้าของใครที่เป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้

ชาวยิวหรือชนชาติอิสราเอล เป็นชาติที่เชื่อว่ามีพระเจ้ามาตลอด แต่พวกเขาควรไว้ใจพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษ หรือไว้ใจพระบาอัลเป็นพระเจ้าดี … คำตอบของเรื่องนี้ ปรากฎชัดใน 1 พงษ์กษัตริย์ 18 พระเจ้าที่เที่ยงแท้ เทไฟลงมาบนแท่นบูชาที่เปียกโชกและเต็มไปด้วยน้ำ ไหม้แม้กระทั่งหิน ดิน น้ำ นี่แหละ พระเจ้าได้เป็นพยานพระองค์เอง ด้วยการอัศจรรย์!

เรามีเรื่องใกล้ตัวเรา ที่จำเป็นต้องมีข้อยุติ ซึ่งการอัศจรรย์เท่านั้น ที่จะสร้างหลักฐานยุติข้อโต้แย้งดังกล่าวได้ และในสมัยของพระเยซู ผู้คนรอคอยมานาน ว่าเมื่อไหร่พระสัญญาพระเจ้า ที่จะส่งพระผู้ช่วยเข้ามาในโลก จะสำเร็จเป็นจริง แล้วพระเยซูก็เสด็จเข้ามา พระองค์อ้างเรื่องนี้ใหญ่โตหลายประการ

ขณะที่ยอห์น บัพติศโต ถูกจำคุก ท่านส่งลูกศิษย์ไปถามว่า พระองค์เป็นพระเมสิยาห์จริงหรือ? สิ่งที่พระเยซูตอบ ไม่ใช่หลักศาสนศาสตร์ หากแต่สั่งให้ศิษย์ยอห์นไปบอกว่าอะไรคือหลักฐาน "จงไปแจ้งแก่ยอห์นซึ่งท่านได้ยินและเห็น คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยินได้ คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา" [มัทธิว 11]

พระเยซูตอบสั้นๆ ในทำนองที่ว่า "การอัศจรรย์ ยุติข้อโต้แย้ง" เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ได้พิสูจน์ว่าอะไรคือความจริง อีกทั้งยังกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ถ้าเราไม่ปฏิบัติพระราชกิจของพระบิดาของเรา ก็อย่าวางใจในเราเลย แต่ถ้าเราปฏิบัติพระราชกิจนั้น แม้ว่าท่านมิได้วางใจในเรา ก็จงวางใจเพราะพระราชกิจนั้นเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเข้าใจว่า พระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา" [ยอห์น 10] นี่ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ที่ผู้เชื่อคาดหวังการอัศจรรย์จากพระเจ้า และพระองค์ก็บอกเราให้เชื่อในพระองค์ อย่างน้อยก็เพราะเห็นการอัศจรรย์ ที่พระเยซูได้พิสูจน์แล้ว!

ท่านสามารถติดตามอ่านสิ่งพระเยซูกระทำ ได้จากพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่มากมาย ซึ่งหากเราตัดเรื่องการอัศจรรย์ออกแล้ว พระคัมภีร์จะเหลือเนื้อหาน้อยมาก ยกตัวอย่างบางส่วนที่สรุปตามหัวข้อวันนี้ได้จาก ยอห์น 14:1, มัทธิว 9:2-7, ยอห์น 3:2, กิจการ 2:22, ยอห์น 5:36, ยอห์น 6:2, กิจการ 5:12-14


เรารู้แล้วว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า รู้ว่าพระองค์เป็นทางเดียว ที่นำมนุษย์ทั้งหลายเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า และไม่มีทางใดอีก แม้กระทั่งการถือศีล การบวช การใช้ความพยายาม ฯลฯ … แล้วผู้ที่ยังไม่รู้ล่ะ จะทำอย่างไร??!!! เราจะเปิดพระคัมภีร์ให้ชาวฮินดูกว่า 800 ล้านคนในอินเดีย เปิดหนังสือสีดำให้ชาวมุสลิมในอินโดนีเซีย แล้วจะชนะใจพวกเขาหรือ แค่นั้นยังไม่พอ เพราะพวกเขาก็มีพระคัมภีร์ฮินดู คัมภีร์อัลกุรอ่านด้วย

แม้แต่กลุ่มที่มีการศึกษาสูงในแถบแสกนดิเนเวีย ยุโรป อเมริกา ก็ได้ยินคำเทศนาไพเราะมากันมากแล้ว แต่อัตราส่วนของกลุ่มนี้ในจำนวนมาก ก็ยังไม่เห็นว่าคำสอนในพระคัมภีร์สำคัญอะไร และเชื่อว่าศาสนาคริสต์เป็นเพียงศาสนาหนึ่งของโลก

หลายคนไม่เชื่อในข้อเขียน และคำพูดเชิญชวนอีกแล้ว ทั้งที่พระเยซูมีพระมหาบัญชา ให้ออกไปสั่งสอนทุกคนให้กลับใจใหม่ และเชื่อวางใจในพระองค์ เพื่อมีสิทธิ์รับความรอด เข้าสู่ดินแดนที่พระเจ้าจัดเตรียมในสวรรค์ ผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า จำเป็นต้องมีประสบการณ์กับพระองค์มากกว่าการเข้าใจ

ซี ปีเตอร์ แวกเนอร์ กล่าวว่า "การประกาศที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดนั้น คือการประกาศควบคู่ไปกับ การสำแดงฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติจากพระเจ้า"

ที แอล ออสบอร์น กล่าวว่า "ข่าวประเสริฐที่ประกาศออกไปโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ยืนยันด้วยหมายสำคัญ การอัศจรรย์เท่านั้น ที่จะทำให้เราประสบชัยชนะยิ่งใหญ่ ในการนำดวงวิญญาณในทุกยุค ทุกสมัย"

เอ เอ แอลเลน เขียนในหนังสือว่า "พระเจ้าไม่เคยเรียกใครให้ออกไปประกาศพระกิตติคุณ โดยไม่กำชับให้เขารักษาคนเจ็บป่วยควบคู่ไปด้วย"

เราไม่จำเป็นต้องสำแดงให้คนไร้พระเจ้ารู้ เหมือนอย่างในสมัยเอลียาห์ หรือสมัยอัครทูตเช่นนั้นหรือ? ถ้าสาวกจำเป็นต้องพึ่งพาฤทธิ์เดชมากแค่ไหน สมัยเราก็ต้องพึ่งพาเช่นนั้นด้วย … การอัศจรรย์ ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่ "ความจริง" ที่ชี้และซ่อนอยู่เบื้องหลัง ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่นี้ สำคัญ!

มีคนจำนวนมาก ที่เมื่อฟังคำเทศนาเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ไม่ยอมกลับใจเชื่อ แต่เมื่อได้มีประสบการณ์ การอัศจรรย์ จึงได้ยอมรับและกลับใจเชื่ออย่างง่ายดาย ในหนังสือ 4 เล่มแรกของพันธสัญญาใหม่ และหนังสือกิจการ เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ให้ลองศึกษาเปรียบเทียบ โดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงสิ่งที่เปาโลได้กระทำในแต่ละเมือง แล้วท่านจะพบ และท่านเองก็พิสูจน์ได้ ด้วยการที่ท่านออกไป แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ

จึงพูดได้ว่า "การอัศจรรย์ 1 ครั้ง มีผลมากกว่าการเทศนา 1 พันครั้ง"

จากหนังสือของ ไมค์ แฟรนซีน (ผู้ร่วมพันธกิจประกาศทั่วโลกกับออสบอร์น)

โปรดติดตามตอนต่อไป ภาค 2 … ขอพระเจ้าอวยพระพรผู้อ่านทุกท่าน
4 Comments »

ชีวิตคริสเตียนที่ปกติ

 อะไรคือ ชีวิตคริสเตียนที่ปกติ  เปาโลนิยามไว้ใน กาลาเทีย 2:20 ว่า
"ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า"
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่เป็นเกณฑ์พื้นฐานคริสเตียนปกติที่พระเจ้ากำหนดไว้ คือ มีการแทนที่ใน 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่ง พระคริสต์ได้ตายแทนเราที่บนกางเขน เพื่อให้เราได้รับการอภัย ด้านที่สอง พระคริสต์ได้ทรงแทนที่อยู่ภายในเรา

ปัญหา 2 ประการ — บาปแห่งการประพฤติ และบาปแห่งนิสัย … หนังสือโรม 8 บทแรก ชี้ให้เราเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

"พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น" 3:25

"เพราะเหตุนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์" 5:9

"เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป" 6:6

พระเจ้าได้อภัยความผิดบาป "ทั้งสิ้น" ของมนุษย์ โดยพระโลหิตของพระเยซู เพื่อให้เราได้รับการโปรดให้ชอบธรรม แต่ในอีกส่วนหนึ่ง ไม้กางเขน เป็นตัวแทน ซึ่งหมายความว่า เราเข้าสนิทกับพระองค์ โดยการตาย การถูกฝัง และการเป็นขึ้น สรุปได้ว่า พระโลหิต จัดการกับสิ่งที่เรากระทำ ส่วนไม้กางเขน จัดการกับสิ่งที่เราเป็น


วิถีทางแห่งความจำเริญ

1. การรู้จัก – "เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" พระคริสต์ตายแทนเรา เราจึงตายแล้วเหมือนกัน และมีชีวิตใหม่ในพระเยซู

2. การนับ – "เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป" เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ว่า มนุษย์เก่าเราถูกตรึงไว้แล้วตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ และ "จงถือว่า(นับว่า)ท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์" ในภาษากรีก ใช้คำว่า "นับ"  ซึ่งมีความหมายถึง "การคำนวณ" มิใช่การนับระยะเวลา ไม่ใช่นับตั้งแต่ท่านได้ค้นพบ และไม่ใช่เรื่องของอนาคต หากแต่ การตายของเรา ตายพร้อมกับพระองค์ที่บนกางเขน เคล็ดลับเรื่องการนับ ต้องได้รับ "การเปิดเผย" จากพระวิญญาณบริสุทธิ์

3. ถวายตัวแด่พระเจ้า – "่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า" การถวายนี้เป็นผลจากการที่เราตายแล้ว หลังการรู้และการนับ และเราไม่ใช่เจ้าของตัวเองอีกต่อไป เพียงแค่ยกอวัยวะเราเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า เราก็จะไม่ไปทำบาปอีกแล้ว

4. ดำเนินตามพระวิญญาณ – "ความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้" ผลของพระวิญญาณทุกประการ อยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระวิญญาณของพระองค์อยู่ในเราอยู่แล้ว หากเราปฎิเสธเนื้อหนัง (ธรรมชาติบาปจากความต้องการของตัวเอง) พระองค์จะแสดงผลเหล่านั้นออกมา โดยที่เราต้อง "เข้าสนิท" ดังแขนงกับลำต้น

5. แบกไม้กางเขน – "ผู้ใด ที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา" และ "ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา" ภาษากรีกและอังกฤษใช้คำว่า "แบกทุกวัน" เราต้องเอาชนะตัวเอง และแบกกางเขน ติดตามพระเยซูทุกวัน คือ ทำลายตัวเอง เพื่อจะได้รับกำลังและฤทธิ์เดชจากพระเจ้า เพราะความเป็นตัวเอง ก็คือเนื้อหนังที่นำเราไปทำบาปนั่นเอง

1 Comment »

เรื่องของวิญญาณ

แบบว่า วันนี้ ไม่ค่อยว่างเขียนแล้ว

อยากรู้เรื่องราว ช่วยลิงค์ไปอ่านที่ http://webinspirer.com/godwithus/bible/bible_all.php

ในหัวข้อ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ ภูตผี และวิญญาณ แล้วจะเข้าจัยยย

เอาเป็นว่าสรุปให้นิดนึงละกัน

วิญญาณที่อยู่ในโลก เป็นพรรคพวกของซาตาน เป็นวิญญาณชั่วที่คอยหลอกให้มนุษย์ไม่รู้จักพระเจ้า
เช่น ทำหน้าที่ปลอมตัวเป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ว่ายังวนเวียนอยู่โนโลก หลอกให้กราบไหว้ และยกย่องเป็นเทพเจ้า ไม่ก็นึกว่าเป็นผีบรรพบุรุษ แต่จริงๆ วิญญาณเหล่านี้ แหล่งที่มาไม่ดี เพราะมาจากซาตาน ดังนั้น พวกนี้จึงไม่เคยช่วยอะไรให้มนุษย์ดีขึ้นเลย มีแต่จะยิ่งตกต่ำลงไป ในยอห์น 10.10 กล่าวว่า พวกนี้มาเพื่อ "ลัก ฆ่า ทำลาย"

เมื่อครั้งแรกที่มนุษย์ทำบาป ก็เพราะเชื่อคำโกหกของซาตาน ว่า "จะไม่ตาย" และความตายเข้ามาในโลกก็เพราะบาป ใน 1 โครินธ์ กล่าวว่า "เหล็กไนของความตายคือบาป" และความตายก็ถูกทำลายลงโดยพระเยซู

ดังนั้น คริสเตียนทุกคน จึงมีความหวังใจ ในวันที่พระองค์เสด็จกลับมา เราก็จะมีชัยชนะเหนือความตายด้วย

ไว้เดี๋ยวกลับมาแก้ เล่าให้ฟังใหม่ละกันนะ

2 Comments »

Umm…..เคร่งกันเข้าไป

พักนี้มีข่าวลือหนาหูอยู่เสมอ ทำให้มีคำถามทั่วๆ ไป จนถึงคำถามแปลกๆ รายล้อมเข้ามามากมาย
อันดับแรกๆ จะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องการบวช หลายคนได้ยินข่าวลือมาผิดๆ ว่าเราเบื่อโลก จะไปบวช และเป็นพวกเคร่งศาสนา 55555 น่าขำขันที่สุด … แต่อีกมุมหนึ่ง เป็นเรื่องซีเรียสมากๆ สำหรับคนไทย เพราะเขามองความเชื่อในเรื่องพระเจ้าเป็นศาสนาไปจริงๆ แต่กลับไม่มองว่า พระเจ้า คือ "ความจริง" เหตุผลหลักๆ ที่เป็นเช่นนั้นก็คือ "ความบาปของบรรพบุรุษ" และ "บาปส่วนตัว"

ในพันธสัญญาเดิม-ใหม่ มนุษย์จะไม่รู้จักพระเจ้าได้ ด้วยสาเหตุใหญ่ 2 ประการ

1. บาปของอาดัม – บุคคลผู้รู้จักพระเจ้าอยู่ก่อน และมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างเป็นปกติ แต่เมื่อเริ่มทำบาป การรู้สำนึกดี-ชั่ว เป็นตัวฟ้องผิด รู้ว่าตนไม่เหมาะสมจำเพราะพระพักตร์พระเจ้า … ถ้าเทียบหลังสมัยอาดัม ก็เหมือนกับเด็กที่โตมากับครอบครัวคริสเตียน รู้ว่าพระเจ้าเป็นความจริง แต่ได้ลุ่มหลงโลก แต่ได้กระทำ "บาปส่วนตัว" จึงไม่กล้าที่จะสานสัมพันธ์กับพระเจ้า ออกห่าง และหมดการระลึกถึงว่าตนเคยมีพระเจ้า


2. บาปที่สืบทอดต่อกันมา – ในพันธสัญญเดิม มีคนหลายรุ่น ที่เกิดมาในโลก แต่ก็ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า เนื่องจากบรรพบุรุษเขาเหล่านั้น ถูกฤทธิ์ของบาปครอบครอง พวกเขา สร้างสิ่งที่ทำด้วยมือขึ้นมา กราบไหว้บูชา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอใจ พวกเขาจึงขาดความสัมพันธ์กับแหล่งกำเนิดชีวิตไป

แต่พระเจ้าได้ประทานคุณ ยอมสละพระองค์เองลงมาในโลก เพื่อบอกมนุษย์ว่า แม้พระองค์จะยิ่งใหญ่ในฟ้าสวรรค์ แต่พระองค์เป็นพระเจ้าที่เป็นเพื่อน มนุษย์สามารถที่จะรู้จัก และพูดคุย มีความสนิทสนมด้วยได้ และนี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่พระเจ้าสร้างเราทุกคนขึ้นมาด้วย
… มีความบาปมากมาย ที่เราสมควรได้รับโทษ แต่เพราะความรัก โทษทั้งปวง พระเยซูคริสต์ ก็รับเองไว้หมดแล้วที่กางเขน (เพราะกางเขน เป็นสัญลักษณ์การตายที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์) เพื่อเราทั้งหลายจะปราศจากบาปอย่างสิ้นเชิง

เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องแปลก แต่จริง ทำไมน่ะหรือ … ก็พระเจ้ารอให้ทุกคนพิสูจน์ รอมนุษย์แสวงหาพระองค์ให้พบ แม้มนุษย์อย่างเราจะมีปัญญาเพียงเล็กน้อย เข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไม่ได้ ว่าพระเจ้ามาจากที่ใด แต่ต่อเราเข้าใจแหล่งกำเนิดพระเจ้าได้ก็เถอะ สิ่งที่กำเนิดพระเจ้าได้ ก็จะยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าเสียอีก … พระเจ้าก็จะไม่ใช่พระเจ้าแล้ว ถ้าเช่นนั้น

คนไทยมักจะเคยชินกับรูปแบบ และพิธีที่เป็นศาสนาจนชินตา อีกทั้งติดภาพความเชื่อของคริสเตียน พิธีกรรมต่างๆ ของคาทอลิก ซึ่ง เข้ากับและความเชื่อของไทย และติดตาได้มากกว่า (เหมือนที่เคยบ่นไปหลายรอบแล้วน่ะ … ไม่ได้ไม่พอใจ แต่มันเป็นปมทำให้คนเข้าใจพระเจ้าอย่างผิดๆ มาเยอะ โดยเฉพาะช่วงนี้ คนที่ทำงานประมาณเดียวกันทั้งนั้นเลย หาว่าจาปัยบวชซะงั้น) ทำให้คิดว่าใครที่รู้จักพระเจ้า กลายเป็นคน "เคร่งศาสนา" ไปซะหมด … เลยอยากประกาศ และ "ย้ำ" ไปเลยว่า

  ท่านไม่ต้องซื้อใบล้างบาปเพื่อสะอาดสำหรับพระเจ้า พระเยซูชำระแล้วครั้งเดียวพอที่ไม้กางเขน เพียงแค่มีความเชื่อเท่านั้น
  ท่านสนิทกับพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องท่องตำรามหาเวท ไม่ต้องผ่านนักบวช หรือคนกลางใดๆ และไม่ใช่การเคร่งศาสนา พระเจ้าเองก็ต้องการให้คุณ รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวันเช่นกัน
  คริสเตียนจริงๆ จะพูดว่า "คริสเตียน ไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์กับพระเจ้า" (จากเว็บ chanswer)
  นิกาย เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์แบ่งแยก และระบุพวก คำว่า "โปรแตสแตนท์" แปลว่า กบฎ ผู้แตกก็ก เพราะสมัยมาติน ลูเธอร์ เห็นความหรูหราโอ่อ่าของนักบวชที่ขายใบล้างบาปในยุคมืด เมื่อท่านเริ่มพูด ก็ถูกจัดแยกจากคาทอลิก
  รูปปั้นที่กราบไหว้ ไม่ว่าจะเป็นไม้กางเขนที่มีรูปพระเยซูเอง ก็ไม่ช่วยให้ท่านขึ้นสวรรค์ พระเจ้าใหญ่กว่าจะสถิตในรูปปั้น และรู้ทุกความคิดของมนุษย์ทุกคน


สรุป — พระเจ้ารักคุณ และ ต้องการช่วยเหลือให้คุณเป็นสุข และเป็นคนดี -_-"


เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาพูดถึงเรื่องวิญญาณกันดีกว่า….. ใครว่าวิญญาณไม่มีจริง ก็ดูตอนคนที่หมดลมหายใจละกัน ทำไมร่างเปล่าๆ ของเขา ต่างกับตอนที่ยังเป็นอยู่นัก?
2 Comments »