Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

การรู้จักตัวเอง กับ การส่องสว่างของพระเจ้า

การรู้จักตัวเอง กับ การส่องสว่างของพระเจ้า

คริสเตียนไม่สามารถเติบโตได้ถ้าเขาไม่รู้จักตัวเขาเอง และคริสเตียนไม่สามารถก้าวหน้า ฝ่ายวิญญาณไปอีกได้มากกว่าที่เขารู้นั้น ไม่มีคริสเตียนคนใดเติบโตได้มากกว่าสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยให้ ถ้าคริสเตียนไม่รู้สิ่งผิดปกติหรือสภาพการณ์ของเขา ก็จะไม่สามารถมุ่งไปในสิ่งใหม่ๆ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าได้

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ การตระหนักว่าเนื้อหนังของมนุษย์ เชื่อถือไม่ได้และไร้ประโยชน์ วิธีเดียวคือการวางใจพระเจ้าในทุกทาง  เมื่อเราไม่รู้ตัวเอง เราก็ไม่รู้ว่าเราบกพร่องมากแค่ไหน หรือ ความรอดในพระคริสต์ล้ำค่าแค่ไหน ทำให้เราพลาดจากพระพรฝ่ายวิญญาณ

การรู้จักตัวเองมาจากการสำรวจตัวเองหรือไม่?

Psalm 26:2 – ข้าแต่พระเจ้า ขอพิสูจน์ข้าพระองค์ ลองข้าพระองค์เถิด ทดสอบใจและจิตของข้าพระองค์เถิด

จริงๆ แล้ว มีเพียงพระเจ้าที่ตรวจสอบได้อย่างถูกต้อง เรารู้มั๊ยว่าพระเจ้าคิดกับเรายังไง? เมื่อเราคิดว่าเราดีเหลือเกิน พระองค์คิดอย่างนั้นด้วยมั๊ย? หรือเมื่อเราคิดว่าเราแย่มาก พระเจ้าคิดเช่นนั้นหรือ? หากแต่เมื่อพระเจ้าพิจารณาว่าเราดี เราจึงดีได้ … พระเจ้าไม่ต้องการให้เราตรวจสอบตัวเราด้วยตัวเอง พระองค์ต้องการให้เราปฎิเสธความรู้สึกสับสนออกไปในการตัดสินใจ และเปิดรับแนวคิดของพระองค์และเข้าใจการตัดสินนั้น เราจึงจะประเมินตัวเองได้อย่างถูกต้อง

การเปิดเผยมาจากไหน?

John 8:12 – พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"

1. พระเยซูทรงเป็นแสงสว่าง เมื่อเราเข้าใกล้พระเจ้า เราจึงเห็นแสงสว่าง บ่อยครั้งที่เราคิดว่าบางสิ่งก็ไม่เลว แต่เมื่อพระเจ้าเปิดเผย เราต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าทุกอย่างผิดหมด เราตระหนักว่ามาตรฐานของเรานั้นไม่เพียงพอ ยิ่งเราเข้าใกล้พระเจ้า ก็จะได้รับการเปิดเผย ส่องสว่างมากเท่านั้น

Psalm 119:105 – พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์
Psalm 119:130 – การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย

2. การงานของเนื้อหนังไม่สามารถพ้นจากการเปิดเผยของพระเจ้าได้ แต่ละวันเราไม่ควรดำเนินตามรู้สึก ถูกหรือผิด หากแต่ต้องให้พระวจนะตัดสินแทน นั่นหมายความว่า เราต้องผูกพันอยู่กับพระวจนะมากขึ้น และวางใจการสำแดงของพระวิญญาณ ที่จะทำให้เรารู้ตัวเองมากขึ้น

Matthew 5:14 – ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้

3. หลายคนคิดว่าประโยคนี้หมายถึงคริสเตียนที่มีความประพฤติดี แต่จริงๆ แล้ว "คริสเตียนเป็นแสงสว่าง" สามารถส่องแสงสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ออกมาได้ คริสเตียนหลายคนผู้เป็นแสงสว่าง ทำให้คริสเตียนคนอื่นกล่าวโทษตัวเอง และละอายใจเวลาอยู่ใกล้ชิดคนเหล่านั้น พี่น้องทั้งหลาย แท้จริง เราเป็นคนงานของพระเจ้า ถ้าเราไม่มีแสง เราจะทำงานไม่ได้ ถ้าเราเข้าใกล้พระเจ้า และให้แสงนั้นควบคุมเราอยู่เสมอ เราจะฉายสภาพความจริงของมนุษย์โดยอัตโนมัติ ถ้าเราเชื่อฟังน้ำพระทัยพระเจ้า และทำงานของพระองค์ เราจำเป็นต้องเป็นแสงสว่าง

เมื่อเราเข้าใกล้คนที่สนิทกับพระเจ้า เราจะสัมผัสถึงพระเจ้า เมื่อไหร่ที่เข้าใกล้พี่น้องบางคน เมื่อสนทนาและอ่านพระวจนะด้วยกัน จะตระหนักว่าเรายังบกพร่องอยู่ ทุกครั้งที่พบพี่น้องคนนี้ มีความรู้สึกพิเศษว่า พระเจ้าอยู่ที่นั่น เมื่อเข้าใกล้เธอ แสงสว่างของเธอนั้นเองที่กล่าวโทษบาปของเรา

ไม่ว่าเราจะสนิทกับพระเจ้าโดยพระวจนะหรือการสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียน การส่องสว่างนั้นมาจากการเปิดเผยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นผู้สำแดงพระสิริ ความบริสุทธิ์ และความชอบธรรมของพระเจ้า และเมื่อเราเห็นมาตรฐานพระเจ้า เราจะรู้สภาพการณ์และพบว่าเราตกขอบจากมาตรฐานนี้ไป


SELF-KNOWLEDGE AND GOD’S LIGHT

A Christian never progresses in spirituality if he does not know himself. And a Christian can never spiritually progress further than what he knows. No Christian can progress further than the light which God has given him. If a Christian does not know his faults or his real condition, he will not pursue after what is new or go on in the way ahead.

The most important thing in a Christian’s life is to consider his own flesh as not trustworthy and himself as absolutely useless. Only in this way will he utterly trust God. When we do not know ourselves, we do not know how great is our lack and how complete and precious is the salvation in Christ. As a result we miss so many spiritual blessings.

IS SELF-KNOWLEDGE DERIVED FROM SELF-EXAMINATION?

Psalm 26:2
Actually, only God’s knowledge concerning us is correct. Do you know how God thinks about you? When you think that you are so good, does God also think the same thing? When you think that you are very bad, does God also think the same thing? When God regards you as good, then you are good. And when God regards you as evil, then you are evil. … While God does not want us to examine ourselves. He wants us to have His same view. Therefore, He wants us to reject our untrustworthy feelings in deciding our condition and receive His thought and understand His judgment so that we may have an accurate assessment of ourselves.

WHERE DOES THIS LIGHT COME FROM?

John 8:12
1. The Lord Jesus is light. When we draw near to the Lord, we shall see light. Often we think that this is quite good and that is not bad. But when we tell the Lord the facts of a situation, asking Him for enlightenment, we find to our surprise that everything is wrong. We will realize that our standard is not enough. The more we draw near to the Lord, the more we will receive the light of God.

Psalm 119:105 & Psalm 119:130
2. The work of the flesh cannot escape the shining of the light of God. Day by day we should not follow our feelings in judging whether a matter is right or wrong. Rather, we must let the Word of God decide whether it is right or wrong. For this reason, we must read the Bible more, and we must trust that the Holy Spirit would manifest the Word of God to us so that we may know ourselves.

Matthew 5:14
3. Normally we think that this verse speaks only of a Christian’s good behavior. But actually there is a very deep meaning here. It says that a Christian is light. Many Christians who are in the light of God, make other Christians afraid of seeing them because once they are seen, they will be condemned of their own sins. Brothers and sisters, we are the workers of God, serving God. If you do not have the light of God, you will not be able to work. If you draw near to God and are controlled constantly by the light of God, spontaneously you will illuminate the real condition of the people who are contacting you. If we want to obey the will of God and do the work of God, we need to be a light

When you come close to Christians who are near to God, they make you feel God. Whenever I went to see a sister, after talking and reading a few verses from the Bible with her, I was aware that I was still lacking. I always felt something special … God was there. When you came close to her, her light condemned your sin.

Whether by drawing near to Christ, by reading God’s Word, or by being with other Christians, all the light we receive comes from the revelation of the Holy Spirit. It is the Holy Spirit who manifests His glory, holiness, and righteousness. By this we see the absolute standard of God, so that we see ourselves, know our own real condition, and realize how we fall short of the standard of God.

5 Comments »

Humility – ความถ่อมใจ

Humility

ขณะที่พระเยซูล้างเท้าสาวก จนกระทั่งมาถึงเปโตร จะไม่ยอมให้ล้าง แต่พระเยซูบอกว่าถ้าไม่ให้ล้าง ก็มีส่วนในพระองค์ไม่ได้ เปโตรจึงทูลว่า "พระองค์เจ้าข้ามิใช่แต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอทรงโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว"

มีสิ่งพิเศษบางอย่างเกิดขึ้นในเหตุการณ์ เคยสงสัยว่าทำไมคำสนทนาช่วงนี้แปลกๆ ไม่เคยเข้าใจ … แต่เห็นสิ่งพิเศษอย่างนึง?

IMAGE

เท้าเป็นสิ่งสกปรกที่สุดของคนเรา ยิ่งคนไทย จะเห็นว่าเป็นของต่ำมาก ถ้าใครยกเท้าให้ เป็นเรื่องแน่นอน แต่ขณะที่พระองค์ล้างเท้า มันมีความหมายพิเศษมาก พระเยซู พระองค์อยากจะบอกเราทั้งหลายว่า สิ่งที่เราคิดว่ามันต่ำ มันแย่ที่สุดในชีวิตเราแต่ละคน พระองค์ก็ทรงรับได้ เรื่องโสโครก โสมม เบื้องลึกในใจที่เลวร้ายที่สุดที่ไม่อยากให้ใครรู้ พระองค์ก็ยังยอมลดตัวลงต่ำเพื่อเรา พระโลหิตของพระเยซูที่ไหลก็เพื่อความบาป บาปที่สุดนั้นก็ยังจะสะอาดหมดจด … ในการล้างเท้าไม่ได้มีเพียงแค่ความถ่อมใจ หากแต่ความหมายของการล้างเท้านั้น ความรักเป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุด พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่รักเราอย่างที่สุด ความรักที่ทำให้พระองค์อดทนเราได้นาน ไม่จดจำความผิด เชื่อในส่วนดีของเราอยู่เสมอ

ตั้งแต่ที่พระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ยอมต่ำตั้งแต่วินาทีแรก พระองค์ประสูติในคอกสัตว์ ไม่มีห้องดีๆ สำหรับพระองค์ พระเยซูอยู่บ้านไม่ได้ใหญ่โต เมื่อมีคนจะมาแต่งตั้งให้พระองค์เป็นกษัตริย์ มีอำนาจ พระองค์ก็ปฎิเสธ ยอมสละเกียรติและความสง่างามของตัวเอง ลงมารับใช้ ให้มนุษย์โขลกสับ และวิธีการนี้ ทำให้พระองค์ไม่เคยอ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้าตรงๆ ซักครั้งเดียว จนกระทั่งความมรณาที่กางเขน … ในโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นของพระองค์เลย บ้านก็ไม่มี กระทั่งหลุมฝังศพยังต้องยืมคนอื่น

พระเยซูวางแบบอย่างไว้ให้แก่เราในความถ่อมใจดังนี้

1. พระเยซู – ไม่ทำตามใจตัวเอง แต่หากตามพระบิดา (John 5:30) "เรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา";
คริสเตียน – ไม่ทำตามเนื้อหนัง แต่ตามใจพระเจ้า (2 Corin 5:15); "พระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย"

2. พระเยซู – ไม่อวดอ้าง หรือเป็นพยานให้แก่ตัวเอง (John 5:31) "ถ้าเราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง"
คริสเตียน – ใครจะเข้าใจหรือมองเราในแง่ดูถูกแค่ไหน ไม่ต้องสนใจ พระเจ้าเข้าใจและอยู่เหนือทุกสิ่ง (Phil 4:6) อธิษฐานเผื่อด้วย…ข้อนี้ยังพลาดบ่อย

3. พระเยซู – ยอมเป็นคนต่ำ ทำสิ่งที่ต่ำต้อย และน่าดูถูกสำหรับคนทั่วไป (John 13 – ล้างเท้า)
คริสเตียน – (Romans 12:10, 16) "จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว … อย่าใฝ่สูง แต่จงถ่อมใจลงยอมทำการต่ำ"

นอกจากนี้ ในหนังสือ 2 Sam 6:22 กษัตริย์ดาวิดที่เชิดชูของประชาชน กล่าวว่า "เราจะถ่อมตัวของเราลงยิ่งกว่านี้อีก ให้ปรากฏแก่ตาของเราเองว่าเป็นคนต่ำ" … ความถ่อมใจ เป็นการลดความสำคัญของตัวเองลงไป และไม่ใช่คนเย่อหยิ่งที่ชนะใจคน หากแต่คนใจถ่อม เป็นที่น่ายินดีของคนอื่นและโดยเฉพาะต่อพระเจ้า

การที่เราเป็นคนยอมถ่อมใจให้โลกดูถูก เพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า จงภูมิใจเถิด … ความสุขเป็นของบุคคลที่ไม่ดำเนินในทางของความอธรรม

อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน [Phil 2:3-8]

Crucified laid behind a stone
You lived to die rejected and alone
Like a rose trampled on the ground
You took the fall and thought of me … above all

บำเหน็จของความถ่อมใจและความยำเกรงพระเจ้า คือความมั่งคั่งเกียรติและชีวิต [Proverb 22:4]

2 Comments »

รักวิเศษ – พระเจ้าเป็นความรัก – พระเจ้าที่พูดกับมนุษย์ได้

   คำเทศนาวันนี้ดีจัง จบท้าย ได้โดนใจมากๆ อาจารย์ยกคำพูดของเปาโล ว่าข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ เพื่อสิ่งที่อยู่บนสวรรค์ที่ไม่อาจจะสูญสิ้น สิ่งที่อยู่บนโลกนี้เป็นเพียงหยากเยื่อ ราคี และเป็นเพียงของชั่วคราว ทำให้นึกถึงเพลงด้านล่างนี้ขึ้นมา
 
เพลง รักวิเศษ – อัลบั้ม เกรซ 7
ข้าอยากจะรักพระองค์มากกว่า มากกว่าสิ่งใดในชีวิตข้า
ทุกสิ่งที่ข้ามีเป็นเพียงของที่ชั่วคราว
แต่ความรักของพระเจ้า นั้น มั่นคง ยืนยาว
* เพราะรักวิเศษและดี ไม่มีในผู้อื่น
มีเพียงแต่รัก ขององค์พระเจ้าเท่านั้น
ขอทรงโปรดสอนหัวใจ ว่ารักที่แท้เป็นเช่นไร
รักเหมือนดัง พระองค์

ใช่แล้ว ตั้งแต่จำความได้ แต่เล็กจนโต ยังไม่เคยพบรักใด ที่วิเศษเท่ากับความรักของพระเจ้า ไม่ต้องไปสรรหารักใดๆ ในโลก เพราะรักที่ดีที่สุด มาจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความรัก … และเราทั้งหลายก็รอดด้วยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำของเราเอง ทรงรักในสิ่งที่เราเป็น เข้าใจความอ่อนแอของเรา ทรงเป็นรักที่ไม่จดจำความผิด แต่เชื่อในส่วนดีของเราอยู่เสมอ … ตลอดไป

 
ขอสรรเสริญพระนาม พระเยซู พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ แต่องค์เดียว ไม่มีสิ่งใดๆ ในโลกสมควรได้รับการบูชาเท่าพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ยิ่งใหญ่กว่าจะสถิตในปูนปั้นที่พูดไม่ได้ ขอบคุณพระเจ้า ผู้อ่อนโยนและแสนดีต่อเราทุกสถานการณ์ พระองค์เป็นพระเจ้าที่พูดได้ และคอยเตือนและสอนในสิ่งดีเสมอ … ชีวิตลูกอยู่เพื่อ สรรเสริญและยกย่องพระองค์

P.S.// ถึงเพื่อนที่ไม่เข้าใจ – ความรอด (Salvation) หมายถึง แทนที่เราต้องทำบุญ พยายามเป็นคนดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์ หรือมีชีวิตที่ดีหลังความตายที่เราไม่รู้ พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์ที่พยายามเป็นคนดี ก็ยังเป็นคนบาป ไม่มีแรงกำลังจะหยุดสิ่งพลาดพลั้งไปได้ ความดีไม่พอขึ้นสวรรค์ ว่างั้นเถอะ ด้วยความรักของพระองค์ จึงยอมสละพระชนม์เพื่อรับโทษบาปแห่งการกระทำของเรา ไว้ที่ไม้กางเขนแทนหมดแล้ว เพียงแต่เรายอมสารภาพบาป กลับใจจากสิ่งเลวร้ายของชีวิต และต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต ติดตามพระองค์ พระเจ้าจะให้กำลังวิเศษแก่เรา ช่วยเราทุกอย่าง และเราก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์โดยฟรีๆ (ของฟรีนี้เรียกว่า พระคุณ – Grace) ในพระเจ้า มีคำตอบทุกอย่าง ใครยังไม่รู้ว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร ไปสวรรค์หรือลงนรก ขอเชิญท่านเข้ามารู้จักกับพระเยซู ผู้ทรงตรัสว่าเป็นทางเดียว และช่วยแบกภาระเหน็ดเหนื่อยของเพื่อนๆ และยังบอกอีกว่า "สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำได้" พระเยซูยังทรงพระชนม์ อยากรู้ว่าจริงหรือไม่ … ก็ต้องลอง … เชิญมาเถิด … พระเจ้ากำลังเรียกคุณอยู่
Leave a comment »

Boasting & Humility

การโอ้อวด และความถ่อมใจ

เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เขียนเสปซเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง แม้ซักนิดเดียว ไม่เคยมีครั้งใด ที่ปราศจากความขี้โม้ และความเป็นตัวของตัวเอง … ช่วงเวลาที่อยากเขียนเรื่องเหล่านี้ ก็เพื่อเตือนตนเอง ว่าเราเป็นใคร และมีสิ่งใดสมควรพอที่จะอวดกับคนอื่นได้

แม้ชีวิตคริสเตียน เป็นชีวิตที่พ้นจากการกล่าวโทษว่าเราเป็นคนบาป อันเนื่องจากพระเยซูได้ช่วยให้เรารอดพ้นสิ่งนั้นไปแล้ว แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องแบกกางเขนทุกวัน นั่นคือ การปฎิเสธวิถีชีวิตของตนเอง (God’s Will, Not Mine) เพราะโดยธรรมชาติบาปของมนุษย์ หรือที่คริสเตียนเรียกมันว่าเนื้อหนัง มนุษย์มีจิตใจเอนเอียงไปในทางบาปเสมอ ในแต่ละวัน เราต้องเข้าใกล้พระเจ้า เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นอย่างพระองค์ หากเราขาดการติดต่อ สื่อสารกับพระเจ้า เพียงแค่เวลาไม่นาน ความเป็นมนุษย์จะสำแดงตัวเองออกมาอย่างแน่นอน และสิ่งที่ตามมาก็คือ การกระทำของความบาป

การโอ้อวด อาจมีพื้นฐานมาจาก ความหยิ่ง และ ความอิจฉา … ความหยิ่ง เกิดจากความภาคภูมิใจของตนเองในสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น ความอิจฉา เกิดจากความรู้สึกต่ำต้อย บกพร่อง โดนดูถูก ซึ่งโดยปกติ มนุษย์จะไม่สามารถรู้ตนเองได้ นอกเสียจากวิญญาณได้เปิดเผยให้รู้ ว่าเราอยู่ในสภาพการณ์เช่นใด

เมื่อเราใช้ชีวิตในสังคมทั่วไปที่ไม่มีพระเจ้า เราจะเผชิญกับสถานการณ์แห่งวัตถุนิยม มีการโอ้อวด และการตัดสินคนบนพื้นฐานสิ่งที่เรามองเห็น เช่น ขับรถรุ่นไหน, ใช้โทรศัพท์อะไร, ดูมีเงินหรือเปล่า, เรียนจบอะไร, ทำงานด้านไหน, เงินเดือนเท่าไหร่ ฯลฯ ด้วยความเป็นมนุษย์ เราอาจต้องงัดสิ่งที่เรามีออกมาอวด จนติดนิสัย เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เมื่อเราไม่มี แต่กลัวโดนดูถูก ก็อาจถึงขั้นโกหก ให้ดูว่าฉันมีดีกว่าเธอ เพียงเพื่อจะเป็นที่ยอมรับ และไม่ได้ด้อยกว่าใคร … แต่พระเจ้าคิดอย่างไร? พระเจ้าชอบคนโอ้อวดหรือเปล่า?

ในพระวจนะของพระเจ้า หนังสือยูดา (Jude 16) กล่าวถึงการอธรรมหยาบช้าชนิดหนึ่งว่า "คนเหล่านั้น…คุยอวดเสียงขรม" James 4 กล่าวว่า "การโอ้อวดทุกอย่าง เป็นความชั่ว" เพราะเหตุใด การโอ้อวดจึงเป็นบาป
– James 1:17 "ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดา"
– ใน 2 Corin 3 กล่าวว่า "มิใช่เราจะคิดถือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากความสามารถของเราเอง แต่ว่าความสามารถของเรามาจากพระเจ้า"
– และ 1 Corin 4 "ผู้ใดเล่า กระทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมา ก็เมื่อท่านได้รับมา เหตุไฉนท่านจึงโอ้อวดเหมือนกับว่าท่านมิได้รับเลย"

วิธีแก้การโอ้อวด คือ การถ่อมใจเหมือนพระเยซู ผ่านทางความสัมพันธ์กับพระเจ้า คิดเหมือนที่พระเยซูคิด โดยเปลี่ยนจากการยกย่องตัวเอง เป็นการขอบพระคุณและสรรเสริญ สิ่งที่พระเจ้ามอบให้แทน และหากไม่มี ก็ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ทุกสิ่งที่พระเจ้าจัดสรรเหมาะกับตัวเราแน่นอน
– Romans 12:6 "เราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา"
– 2 Corin 9:15 "จงขอบพระคุณพระเจ้า เพราะของประทานซึ่งพระองค์ทรงประทานนั้นที่เหลือจะพรรณนาได้"
– Psalm "บ้างก็โอ้อวดเรื่องรถรบ บ้างก็เรื่องม้า แต่เราอวดเรื่องพระนามพระเจ้าของเรา"
– 2 Corin 10:17-18 "ถ้าผู้ใดจะอวด ก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะคนที่ยกย่องตัวเอง ไม่เป็นที่นับถือของผู้ใด คนที่น่านับถือนั้น คือคนที่พระเจ้าทรงยกย่อง"
– Matt 23:12 "ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะต้องถูกเหยียดลง ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น"

เมื่อครั้งที่เริ่มเขียน Blog เรื่องราวต่างๆ พระเจ้าให้คอนเคปซ์ไว้ 2 ข้อด้วยกันคือ
1. "แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการอวด นอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกตรึงไว้แล้วจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ตรึงไว้แล้วจากโลก" Galatian 6:14
2. "เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน" 1 Corin 2:2

โปรดอวยพรในความอ่อนแอของลูก ที่จะมีกำลัง สามารถอวดพระเจ้าให้ชาวโลกได้เห็นเถิด …..

กษัตริย์ดาวิดกล่าวในหนังสือ Psalm 16 ว่า "นอกเหนือพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีดีเลย" นี่แหละ สิ่งที่ลูกจะอวดได้ ก็คือ อวดพระเจ้า ผู้เก็บลูกขึ้นมาจากโคลนตม ด้วยว่าตัวลูกไม่มีความดีประการใดอยู่เลย นอกจากพระเจ้าแสนดีที่ลูกมี

1 Comment »