Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

หนักแผ่นดิน

จากคำเผยพระวจนะวันอาทิตย์ ทำให้อยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา พระองค์ตรัสผ่านผู้เผยฯว่า "ให้เราเตรียมตัวเข้าสู่สงครามฝ่ายวิญญาณ" เป็นอะไรที่แปลกมาก เพราะทุกครั้งพระเจ้าจะพูดเรื่องความรักเสมอ ไม่เคยพูดถึงสงครามเลย อีกประการ คือ ตั้งแต่เราเกิดมาในโลก ก็เหมือนเราอยู่ในสงครามนี้อยู่แล้ว แต่ทำไมพระองค์จึงตรัสเช่นนั้นนะ???  มันมีที่มาที่ไป

คุณเชื่อหรือเปล่า ว่าทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีความบังเอิญ?

วันพุธที่ 25 ที่ผ่านมา ไปส่งน้องกวางกะซุสขึ้นเครื่องไปเสปนตอนประมาณ 4-5 ทุ่ม ไม่เคยเข้าไปสุวรรณภูมิมาก่อน ไม่ได้ตกใจตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่อลังการของสนามบินอย่างสโลแกน "The Pride of Thailand" เลยซักนิด หากแต่รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีแรงกดดันอะไรบางอย่างจนปวดหัว และอึดอัด มึนงง  และน้องกวางก็ถามขึ้นว่า "พี่ป็อปรู้สึกปวดหัวเหมือนกวางหรือเปล่า?" เก้เองก็บอกว่าตอนทำงานที่สนามบินใหม่ๆ ก็เป็น เลยนึกถึง อาจารย์ โช กอง กี ศิษยาภิบาลในประเทศเกาหลี ซึ่งดูแลโบสถ์ที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลกหลักล้านคน ท่านเคยมาเมืองไทยตั้งแต่สนามบินเก่า ความรู้สึกของท่านคือ หายใจไม่ออก เหมือนมีแรงหรือฤทธิ์อำนาจบางอย่างมาปะทะ แต่ผู้รับใช้พระเจ้าระดับนี้ มีทูตสวรรค์ประจำตัวอยู่แล้วล่ะ ดังนั้น ความรู้สึกที่เข้ามาทักทายท่านนั้น มันก็แป๊บเดียวเอง

เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่พูดเสมอว่าเวลาที่อยู่ต่างประเทศแถบยุโรป เราได้ยินเสียงพระเจ้าได้ง่ายทุกสถานที่ เดินเล่นชายทะเลก็ได้ยินเสียงพระเจ้าเหมือนคนคุยกันปกติ ซึ่งในประเทศไทย ไม่ได้เกิดกันง่ายนัก ต้องแสวงหาจนเหนื่อย และคุยกันตรงๆ ไม่ค่อยได้ อันเนื่องจากว่า ประเทศไทย เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้ายในสถานฟ้าอากาศ "เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ" [Eph 6:12]

มีใครรู้บ้างหรือเปล่า ว่าปัจจุบัน ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีคริสเตียนน้อยที่สุด! (โดนเขมรแซงหน้าไปเมื่อไม่นาน) นั่นหมายความว่า วิญญาณชั่วทำงานกับประเทศไทยมากที่สุด พวกมันปิดบังข่าวประเสริฐกับคนไทยให้ใจบอดมืดไปได้มากที่สุด  … เวลาเราออกไปข้างนอก ถ้าคำอธิษฐานไม่แน่น จิตวิญญาณไม่เต็มล้น เมื่อเราสัมผัสฤทธิ์อำนาจของพวกมัน จะส่งผลถึงร่างกายเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง เช่น เวลาขึ้นแท็กซี่ที่มีรูปเคารพ ปลุกเสกยันต์ แค่เปิดประตูรถขึ้นนั่ง เราจะรู้สึกทันที

เมื่อก่อนก็ไม่รู้ ไม่สัมผัสอะไรพวกนี้ง่ายๆ หรอก แต่เมื่อไหร่ที่เราผูกพันกับพระเจ้ามากขึ้น พอเราเจอฝ่ายตรงข้าม วิญญาณข้างในมันจะรู้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติ อย่างสุวรรณภูมิ เป็นสถานที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศ มีผู้คนมากมาย คนไทยเองก็ได้บรวงสวงสถานที่นั้นต่อเทพและเจ้าอะไรต่ออะไรมากมาย ทำให้น่านฟ้าอากาศแถวนั้นสกปรกมากๆ

หลังจากออกสุวรรณภูมิดันโผล่มาออกเส้นอ่อนนุช ด้วยว่าดึกมากแล้ว จึงแวะพักบ้านเก้ พี่ Lux ก็ยังไม่หลับมาชวนเราคุย ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะพี่ Lux เป็นคริสเตียนใหม่ โดนทั้งบ้านรุมต่อต้าน ด่าว่าโง่ ฯลฯ สารพัดที่มาเชื่อพระเจ้า ชีวิตเหมือนทนทุกข์หนักหนามาก ซึ่งตอนเจอหน้าพี่เค้า เราก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน เจออะไรต่ออะไรมามากในช่วงนี้ แรกๆ ก็หนุนใจเค้า ไปๆ มาๆ เค้าหนุนใจเรา แล้วบอกว่าอาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์พี่เล่าให้ฟังว่า มีคนเห็นนิมิตมากมายตรงกัน ว่าจะเกิดวาตภัยร้ายแรงกับประเทศไทย ยิ่งกว่าซึนามิ พระเจ้าจะเขย่าประเทศไทย (ฟังแล้วเห็นภาพเลย เพราะเคยอยู่ในเหตุการณ์ระเบิดห้าง ที่ผู้คนทำหน้าตา ท่าทางเหมือนวันสิ้นโลกมาแล้ว) แล้วบอกเราว่าไอ้ที่เราเจอวันนี้น่ะ ยังน้อยมาก ถ้าวันนั้นมาถึง วันนี้ยังรับมันไม่ได้ เราก็จะยิ่งใช้ชีวิตได้ลำบาก เพราะมันต้องเกิดแน่ๆ

ก็อย่างที่เค้าว่ากันอีกแหละ พอสุขสงบ คนไม่ต้องการพระเจ้า เหมือนมิชชันนารีในจีน ประกาศเท่าไหร่ ไม่เกิดผล จนมีคอมมิวนิสต์ฆ่าล้างผลาญคริสเตียนเกิดขึ้น จึงได้มาหาพระเจ้ากันมาก

คุณว่าทุกวันนี้เมืองไทยต้องการอย่างนั้นรึเปล่าล่ะ? ในเมื่อเราไปที่ไหนๆ ก็เห็นแต่ไอ้ จตค. เกลื่อนทั่วบ้านทั่วเมืองไปหมด ผู้คนเล่นไสยศาสตร์กันตั้งแต่เด็ก ขึ้นรถตู้ คนนั่งข้างๆ ยังโทรศัพท์ขายแต่ จตค อันละ 2-3 หมื่น, เดินซื้อของ ร้านขายเครื่องประดับ ลูกค้าถามแต่ จตค., เดินตะวันนา ร้านเสื้อผ้าเปลี่ยนมาขาย จตค. กันเกือบหมดแล้ว, โจรเลิกปล้นเพราะหันมาขาย จตค. จนรวยเละ, ทุกสี่แยกไฟแดง มีป้ายสีโฆษณาไอ้ก้อนกลม ฯลฯ … ก็แค่ไอ้ก้อนดินที่มันปั้นขึ้นมาให้มารหลอกเอา ทำเอาคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องความรักของพระเจ้าวิ่งหามันกันหมด

ลูกพระเจ้ายังจะอยู่เฉยกันได้อีกหรอ?
ยังจะรอดีพร้อมแล้วค่อยไปบอกผู้คนหรอว่าพระเจ้ารักเขาแค่ไหน?
เราจะแค่เป็นพยานกับคนรอบข้าง ญาติสนิท มิตรสหายอีกหรือ?
ไม่รู้สึกจริงๆ หรอเวลาเดินออกไปข้างนอกว่ามันหนักแค่ไหน?
สถานฟ้าอากาศเมืองไทย มันหายใจไม่คล่องคอมานานแล้ว
มีหนังสือกี่เล่มในไบเบิ้ลที่เอาแต่กล่าวโทษคนยุครูปเคารพ?
แล้วสิ่งที่ตามมาหลังยุครูปเคารพมันแรงแค่ไหน?
ต่อให้คนที่ไม่ได้หลงไปด้วยก็ยังได้รับผลกระทบเลย

เคยคิดว่าพระเจ้าน่าจะมีวิธีอื่นๆ ที่ไม่ต้องรุนแรงก็ได้ แต่ … อับราฮัมต่อรองกับพระเจ้าถ้ามีคนชอบธรรมถึง 10 คน พระองค์สัญญาว่าจะไม่ทำลาย แล้วนี่ เมืองไทยมีคนชอบธรรมทางความเชื่อไม่ถึง 0.5% ด้วยซ้ำ คุณคิดว่ามันไม่เกิดขึ้นหรือ?  มีกี่คนที่เห็นแก่ 99.5% ที่กำลังรอวันตาย เพราะไอ้ จตค. และ ก-ฮ อีกมากมายที่มัน หนักแผ่นดิน

ดูเถิด เราจะมาในเร็วๆนี้ และจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนการกระทำของทุกคน

1 Comment »

The Life that God Blesses – ชีวิตที่พระเจ้าทรงวางพระหัตถ์

ขอบคุณพระเจ้า อาทิตย์ที่ผ่านมา เข้าใจคำว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าก็อยู่กับ ยาโคบ โยเซฟ ดาวิด ขึ้นมาหน่อย เพราะระหว่างที่เขียนโปรแกรมไบเบิ้ล จากเวอร์ชั่นต่างๆ กว่า 10 version ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเว็บ โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสได้ครอบครอง และตอนลงมือทำ ทำไมมันไหลปรื๊ดๆ คิดในสิ่งที่ไม่น่าจะคิดออก ทั้ง Programming + Database ระว่างนั้น พระคำที่เกี่ยวกับพระหัตถ์พระเจ้าเข้ามาเพียบเลย ซึ่งความหมายก็คือ ชีวิตที่พระเจ้าอวยพระพรนั่นเอง สัมผัสว่าชีวิตแบบนี้แหละ เป็นอะไรที่ใกล้ชิดพระเจ้ามากๆ เลย

ได้อ่านเรื่อง The Life that God Blesses เค้ายกพระธรรม Ezra 7:1-28 ขึ้นมา และชี้ว่าเอสราเป็นคนมั่งคั่ง เพราะพระหัตถ์พระเจ้าอยู่กับเค้าเหมือนที่พระเจ้าอวยพรโยเซฟและดาเนียล เนหะมีห์ ฯลฯ ซึ่งในความคิดไม่เคยนึกมาก่อน ว่าเอสรามั่งคั่ง ก็เป็นปุโรหิตนิ่ จะมั่งคั่งได้ไง!

อย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ช่วงนี้ว่า ในยุคสุดท้าย ความมั่งคั่งของคนอธรรมจะมาหาคนชอบธรรม(คริสเตียน) หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่า ความมั่งคั่งนั้น ไม่จำเป็นต้องครอบครองอะไรมากๆ ด้วยตัวเอง แต่พระเจ้าจะดลใจให้คนมีอำนาจ มีทรัพย์สิน มาบำรุงบำเรอคนของพระเจ้าอย่างล้นเหลือ (อย่างโยเซฟกะดาเนียลไม่ได้เป็นพระราชา แต่มีอำนาจและทุกอย่างดังพระราชา) โดยมีเคล็ดลับดังนี้

  1. แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่น
    • ความมั่งคั่งขึ้นอยู่กับการใช้เวลาของเราและการแสวงหาสิ่งที่เป็นนิรันดร์ (Mark 8:36)
    • หรืออาจมาทางสายของบรรพบุรุษ (2 Kings 25:18-21; Num 25:13)
    • พระพรของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เกินกว่ากำลังของเราจะทำได้ (John 6:5-6,11)
      ในหนังสือเอสรานั้น "พระราชาประทานทุกอย่างที่ท่านทูลขอ" (7:6) พระราชาออกกฤษฎีกาอนุญาตให้รับใช้พระเจ้าอย่างสะดวกพร้อมทรัพย์สินเงินทอง (7:12-26) พระราชาจัดสรรทุกอย่างให้เหลือเฟือ (7:21-22) ไม่ต้องเสียค่าบรรณาการ ค่าส่วยใดๆ (7:24) และอนุญาตให้สิทธิในการตัดสินลงโทษ/ริบของ ฯลฯ
  2. พระพรมีแก่คนที่ตั้งใจศึกษาและเชื่อฟังพระวจนะ (7:10)
  3. การศึกษาและเชื่อฟังนี้เองเป็นรากฐานที่ดีในการมอบคำสอนแก่ผู้อื่น
  4. เราควรถวายเกียรติพระเจ้าด้วยพระพรที่ได้รับ ในความเมตตาเหลือล้นของพระองค์ (7:27-28)

ผู้เขียนสรุปเป็นประโยคสั้นๆ ว่า

"To have God’s hand of blessing on us, we must study and obey His Word,
with a view to teaching others and glorifying God for everything.
"

แปลง่ายๆ คือ "การที่จะได้รับพระพรจากพระหัตถ์พระเจ้า เราต้องตั้งใจศึกษาและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ ด้วยมุมมองที่อยากจะสอนผู้อื่นต่อและถวายเกียรติ ยกย่องพระเจ้าในทุกๆ ทาง" … ขอพระหัตถ์แบบนี้ของพระเจ้าอยู่กับคริสเตียนทุกคน มากขึ้น และ มากขึ้น (อย่าลืมข้อแม้นะ พระคัมภีร์มีแต่เสมอ 55)

P.S. // Steven J. Cole ผู้เขียนเรื่องนี้ เล่าว่าเมื่อ 30 ปีก่อน ได้รับแรงบันดาลใจจาก Watchman Nee ซึ่งเราเองก็ได้รับพระพรจากงานเขียนของ Nee เช่นกัน ตั้งแต่ได้อ่าน Normal Christian Life หนังสือที่เปิดเผยพระคุณพระเจ้าผ่าน ไม้กางเขน+พระโลหิต ชีวิตก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย ขอบคุณพระเยซู

Leave a comment »

I Come to the Cross

I Come to the Cross

I come to the cross where You died in my place.
Out of my weakness and into Your strength,
Humbly, I come to the cross.

Your arms are open, You call me by name,
You welcome the child that was lost.
You paid the price for my guilt and my shame,
Jesus, I come, Jesus I come to the cross

Leave a comment »

ขออนุญาตกลับเข้าวงการ

หลังจากที่หายจากวงการไปนานเป็นเดือน ได้ทบทวนชีวิตดูแล้วก็รู้สึกว่าการบริโภค Internet ของคนเรา ช่างโขมยเวลาของเป้าหมายที่แท้จริงได้เสียมากมาย … ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าคนอย่างเราไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นการตีสอนจากพระเจ้า ไม่ใช่คิดว่าตัวเองดีหรอก แต่คิดว่าพระเจ้าน่ารักและใจดีเอามากๆ จนกระทั่งล่าสุด ไวรัสลง ข้อมูลหาย วุ่นวายเครียด ไฟไหม้ ลงวินโดวส์ไม่ได้ ฯลฯ จึงได้รู้ว่านี่แหละ ไม้เรียวมาถึงแล้ว พระเจ้ารัก เลยโดนตี (Prov 13:24; 22:15; 23:13-14) … แม้จะเสียเวลาไปเป็นเดือน แต่การช่วยกู้อย่างอัศจรรย์มาจากพระเจ้าหลายครั้งมาก บางครั้ง เรียกว่าไม่มีความเชื่อเหลือเลย มีแต่ความหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่พระเจ้าก็ restore มันให้เกิดขึ้นได้เสมอ

ช่วงเวลาที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายบนโลก Cyber นั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสามารถทำให้ได้ยินเสียงพระเจ้าได้ชัดสุดๆ ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้มีอารมณ์หิวกระหาย หรือ fall in love with Jesus อย่างที่ควร แต่ปกติก็ไม่ใช่คนเล่นเกม ติดโทรทัศน์ ฯลฯ หรือมีสิ่งที่หมกมุ่นมาหลายปีแล้ว เมื่อหมอ(God)วินิจฉัยอาการให้เห็น จึงได้รู้ว่า วันๆ ที่แม้จำเป็นต้องใช้ Net ในหน้าที่การงานนั้น จริงๆ แล้วเราหมกมุ่นกะ Internet คือ เอาเวลาไปเสียโดยเปล่าประโยชน์กับมันพอสมควร ไม่ใช่ว่าเราทำอะไรไร้สาระหรอกนะ แต่ในความมีสาระนั่นแหละ น่ากลัวยิ่งกว่า เพราะเป้าหมายสูงสุดถูกแย่งเวลาจากภาพลวงตา คล้ายๆ กับคำว่า "น้ำพระทัยสูงสุด" VS "น้ำพระทัยสำรอง" อะไรทำนองนั้น

ช่วงเวลาที่ผ่านมา ล้ม ลุก คลุก คลาน จริงๆ มีทั้ง Joy, Peace, Pain, Suffer, etc… กล้าพูดได้เลยว่า ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเจ็บเท่านี้อีกแล้ว ที่เคยคิดว่าเจ็บสุดก็คนที่เรารัก คนในครอบครัว เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเจ็บเพราะการรอคอยพระพรพระเจ้า ร้องไห้เกือบขาดใจและหมดแรง มารมันคงหัวเราะฟันหรอ 5555 เคยคิดว่าฉันจะไม่มีวันรู้สึกเหมือนโยบเด็ดขาด เพราะฉันอยู่ใต้พันธสัญญาไม้กางเขน แต่ทว่า … อ่านพระคัมภีร์ก็เจอแต่…

"ไฉนหนอผู้ที่ทนทุกข์เวทนาอย่างนี้ ยังได้รับแสงสว่าง และผู้ที่มีใจระทมทุกข์ได้รับชีวิต" โยบ 3.20  (ทำไมยังมีชีวิตอยู่อีก)
"เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ยับยั้งปากของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะพูดด้วยความแสนระทมแห่งจิตใจของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะบ่นด้วยความขมขื่นแห่งจิตใจของข้าพระองค์
" โยบ 7.11  (บ่นๆๆๆ ทำไมๆๆๆๆ)
"จิตใจข้าพระองค์จึงเลือกที่จะอึดอัดตาย ยิ่งกว่าเหลือแต่กระดูกอย่างนี้
ข้าพระองค์เบื่อชีวิต ข้าพระองค์จะไม่อยู่ค้ำฟ้า ปล่อยข้าพระองค์แต่ลำพังเถิด
เพราะวันคืนของ ข้าพระองค์เป็นแต่เพียงลมหายใจ
" โยบ 7.15-16  (นึกว่าอยู่ในท้องปลา)
"ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์กำลังทุกข์ใจ
นัยน์ตาของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไปเพราะความระทม ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายของข้าพระองค์ด้วย
" สดุดี 31.9  (ร้องไห้จนหน้าตา…)
"จิตใจของข้าพระองค์ระทมอยู่ในข้าพระองค์ ความสยดสยองของมัจจุราชตกเหนือข้าพระองค์" สดุดี 55.4
"ความเจ็บปวดแห่งแดนผู้ตายจับข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าประสบความทุกข์ใจและความระทม" สดุดี 116.3
"ทำไมข้าพเจ้าจึงออกมาจากครรภ์ มาเห็นความลำบากและความทุกข์
และวันคืนของข้าพเจ้าก็สิ้นเปลืองไปด้วยความอับอาย
" เยเรมีย์ 20.18 (เออ นั่นสิ)

เลยเข้าใจว่าโยบ, ดาวิด, เยเรมีย์ รู้สึกอย่างไร? เพราะมันทรมานแบบเดียวกันเลย จนไม่อยากจะเกิดมาหรือมีชีวิตต่อไป แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเข้าใจว่าพระเยซูรู้สึกอย่างไรอยู่ดี  แต่ก็เอาเถอะ พระเจ้าก็มาฉุดเราออกมาจนได้ คล้ายกับพระองค์มีปีก บินมาฉุดคนจมน้ำที่กำลังจะตาย ให้เฮือกหายใจต่อได้ เพราะข้อความหนึ่งที่บอกว่า "ให้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้น เมื่อขอบพระคุณใน “ทุกสิ่ง” แล้วก็จะทำ ให้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้รับการปลดปล่อยออกมาเพื่อทำงานแทนเรา" เพราะพระเจ้าทรงใช้ “ทุกสิ่ง” ทั้งสถานการณ์ที่ดีและไม่ดีของชีวิต เพื่อเปลี่ยนเราให้เป็นเหมือนพระฉายของพระเยซู เราเปลี่ยนแปลงในขณะที่ประพฤติตามมาตรฐานของพระเจ้ามากกว่ามาตรฐานของโลก … อ่านแล้ว ใช่เลย รู้ว่ากำลังโดนกลั่นกรองอย่างแรง จนกล้าพูดได้จริงๆ ว่า ชีวิตนี้ ไม่มีอะไรจะอวดอ้างได้อีกแล้ว

ถ้าถามว่าคุณมีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร? ถ้าซัก 2 ปีก่อนคงบอกไม่ได้ เพราะพระเจ้าเรียกแบบอับราฮัมจริงๆ คือ เรียกให้ออกเดินทางโดยไม่รู้ว่าจะไปทางไหน และจะเป็นอะไรในสายตาพระเจ้าบนโลกใบนี้ แต่วันนี้ก็รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไร จะก้าวไปไหน แม้ไม่ทั้งหมดก็เถอะ แต่เข้าใจมั๊ยว่าบอกไป ก็ไม่มีใครเข้าใจหรอก จะมาถามทำไม?! ฉันไม่อยากจะพูด 100 วันให้คุณข้าใจ จะมาคาดคั้นอะไรกันนักหนา ถ้าคุณไม่เข้าใจ แค่ไม่ต้องพูดอะไรก็พอแล้ว ทำไมต้องมากล่าวโทษ รุมเร้า ประนามกันด้วยล่ะ … นี่แหละ การรอคอยอะไรนานๆ มันเจ็บจริงๆ ยิ่งถ้าคอยแบบขาดความเชื่อ ยิ่งชีช้ำ … ฉันเป็นลูกของพระองค์นะ I’m the child of the Lord most high เข้าใจป่ะ พระองค์จะปล่อยให้ลูกนั้นตกต่ำอยู่นานได้ไงล่ะ  แค่ไม่อยากตายตอนที่สาละวนกับการงานของโลก แต่อยากตายตอนที่มีชีวิตเพื่อพระเจ้า 100% … ทำไมคนเราชอบเข้าใจว่า พออายุเกษียณแล้วจะลาออกมารับใช้พระเจ้าด้วยล่ะ 50 55 60 น่ะหรอ ฉันไม่เคยเชื่อว่าจะอยู่ถึงเลย

เคยถามพระเจ้านะ ว่าคนบางคนเนี่ยะ เคยรู้สึกทุกข์มากๆ ในชีวิตบ้างป่าว อย่าง ดาเนียล โยเซฟ ซาโลมอน เนี่ยะ พระองค์เลยชี้ให้เห็นว่า
 อับราฮัม ต้องทนรอคอยจะมีอิศอัคหลาย 10 ปี ต้องกังวลกับการถวายลูกที่รักที่สุดบนแท่นบูชา
 ยาโคบ โดนดัดนิสัยด้วยคนเจ้าเล่ห์ชนิดเดียวกันอย่างลาบัน ต้องทนมากกว่า 7×2 ปี
 ยาโคบ ต้องทำใจกับลูกสุดรักเป็น 10 ปี กว่าจะได้เจอโยเซฟที่มีชีวิตอยู่โดยไม่เคยรู้
 โยเซฟ ต้องร้องไห้ในวัย 20 มากมายที่ถูกขายไปเป็นทาส ไม่พอ ต้องไปทนทุกข์ในคุกอีกหลายปี
ทุกคนมีสิ่งที่ "ยาก+ลำบาก" ด้วยกันทั้งนั้น แต่ดูผลท้ายที่สุด พวกเขาทั้งหมดนี้ แผนการของพระเจ้า ทำให้เขาทั้งหลายได้รับพระพร "ล้นเหลือ" ด้วยปัจจัยสำคัญ คือ "ความเชื่อ" และ "ความอดทนในการรอคอย"

ใน โรม บทที่ 4-5 ความหวังของอับราฮัมเป็นความหวังชนิดพิเศษ ที่ต้องเกิดขึ้นก่อนพระพรใหญ่ และความอดทนก็ไม่ได้ใช้คำว่า Endurance ธรรมดาๆ แต่ใช้คำว่า Perseverance ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "Code Code อดทน" ก็พระพรใหญ่มาก ถึงได้ อดทนมากกกกกันขนาดนี้ เหมือนกับที่โบราณว่า "ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า แต่สบายวันนี้ ลำบากวันหน้า" นี่มันมาจากหลักการพระคัมภีร์เลยนะเนี่ยะ (Luke 6:24-25) แต่แบบว่าขอสบายตอนนี้แล้วก็รีบๆ จบฉากเลยได้ป่ะล่ะ เพราะสิ่งสารพัก็อนิจจังง่ะ

กลัวอย่างเดียว จะรออย่างเลื่อนลอย ไร้ความเชื่อ แล้วบ่นอยากกลับอียิปต์
เลยโดนวนอยู่ในถิ่นทุรกันดารอีก 40 ปี เผลอๆ ม่องเท่งกลางทางกว่าจะถึงคะนาอัน    ช่วยด้วยยๆๆๆ พระเจ้า

Leave a comment »