พอดีช่วงนี้ได้รับแนวคิดอะไรแปลกๆ มาเยอะ เรื่องการใช้ชีวิต จะขอแบ่งปันซัก 2 เรื่อง
1. จากฟอร์เวิดร์ดเมลล์ : ชายคนหนึ่ง อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เข้า กทม เพื่อสมัครงานเป็นภารโรง แต่เค้าไม่รับ เพราะอย่างน้อยต้องมีความรู้พื้นฐานมาบ้าง ชายคนนี้เลยกลับไปทำเกษตรจนประสบความสำเร็จ ร่ำรวย มีเงินไปฝากธนาคารมากมาย แต่ตอนเปิดบัญชี พนักงานแปลกใจที่ชายคนนี้ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เลยถามว่าทำไมคุณลุงไม่รู้หนังสือ แต่กลับประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ ชายคนนั้นจึงตอบประมาณว่า "ถ้ารู้หนังสือ ป่านนี้ คงเป็นภารโรง"
2. อ่านฟรีมาจากร้านหนังสือในห้างฯ : จำชื่อหนังสือได้ไม่แน่นอน แต่ประมาณว่า "การเอาตัวรอดในนิวยอร์ก" หรือ "ทำเงินล้านในนิวยอร์ก" ผู้เขียนเป็นอาจารย์ท่านนึง เปิดเรื่องถึงลูกศิษย์ 2 คนไปสมัครงานที่เดียวกัน ทั้ง 2 ขอเงินเดือนไปหมื่นนึง แต่หลังจาการสัมภาษณ์ บริษัทยุคเงินฝืดจึงมีการต่อรองเหลือ 7,500 บาท (จำชื่อทั้ง 2 ไม่ได้ จึงขอเรียกว่า A & B) นาย A ยืนยันว่ายังไงก็หมื่นนึง ส่วนนาย B ว่าสมัครมาหลายที่แล้ว ได้งานไว้ก่อนดีกว่า ตามคติ "อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา" นาย A เชื่อว่าความสามารถของเขามากกว่าเงินเดือน 7 พัน 5 จึงไม่ได้งาน และหลังจากนั้น ก็ไปรวบรวมเงินมาบากหน้าสู่นิวยอร์ก เริ่มตั้งแต่เป็นบัสบอย เสิร์ฟอาหาร ล้างจาน จนในที่สุดเมื่อท่านอาจารย์ไปเจออีกที นาย A กลายเป็นเจ้าของร้านอาหารมีรายได้เดือนเป็นล้านบาทเชียว 10 ปีผ่านไป คนที่มีอุดมการณ์ทำรายได้มากกว่านาย B ซึ่งเงินเดือนปัจจุบันขึ้นปีละ 3% จนกลายเป็น 17,000 บาท แต่ไหนจะผ่อนบ้าน เลี้ยงลูกเมีย ฯลฯ ชักหน้าบ่ถึงหลัง … อาจารย์ผู้เขียนจึงลิสรายการงานทุกอย่างมาแนะนำผู้อ่าน โดยใช้การเงินล้านต่อปีมาจูงใจ ไม่ว่าจะเป็น การเปลือยอกเล่นดนตรีร็อคของสาวคนนึง, การเป็นแม่บ้าน, เลี้ยงเด็ก, ขัดราวบันได, บัสบอย, งานสื่อ, ฯลฯ
อ๋อ 2 เรื่องนี้มันเกี่ยวกันยังไง มันมีเรื่องของเงิน และคำว่า "สำเร็จ" มาเกี่ยวข้อง ซึ่งความสำเร็จ คนเรามักจะมองจากตัวเงินที่หาได้ (ป้าดดด) แต่กลับไม่ได้มองอีกแง่มุมนึง ว่าการรู้หนังสือ อ่านออก เขียนได้ มันก็ช่วยชีวิตคนมาเป็นล้านๆ คน แต่ละคนถูกสร้างมาให้ "เป็นคน" ไม่เหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่า ไม่ต้องไปเรียนมันหรอก หนังสือหนังหา จะได้รวย ดูอย่างชายคนนั้นซิ … อ่านก็เหมือนขำๆ แต่บางครั้งทำให้คน(ใกล้ตัว) มาเป็นข้ออ้างไม่อยากเรียนหนังสือได้ ใช่ว่าทุกคนที่ไม่เรียน จะรวยเสมอไป
ส่วนเรื่องเก็บเงิน ไปเมืองนอกเก็บเงินได้มากกว่าเมืองไทย ก็เรื่องจริง ระดับหัวกะทิจบมา ถ้ามัวแต่ทำงานบริษัท เก็บเงินปีนึงอย่างมากก็ครึ่งล้าน ไปเป็นคนกวาดถนนเกาหลี ได้ 8 หมื่นต่อเดือน ไปเป็นหมอนวดในยุโรปได้ปีเป็นล้าน … แต่จิตวิญญาณของคนเราทุกวันนี้ มันถูกขับเคลื่อนด้วยเงินจริงหรือ? … ถ้าทุกคนคิดถึงเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง โลกทั้งใบคงมีแต่วัตถุที่จับต้องได้ ทุกคนมีบ้าน มีรถ แต่ไร้ซึ่งตัวตนแห่งความรัก เหมือนเพื่อนวิศวกรหลายคน รักงานวิศวะ รักจะทำในสิ่งที่เรียนมา แต่สุดท้าย ไม่อาจทำงานที่รักได้ เพราะเงินมันน่ารักกว่า ไม่งั้นจะโดนนิยามว่า "เท่…แต่กินไม่ได้" ยอมทิ้งวิชาชีพไปขายของชายทะเลแคลิฟอร์เนีย ฯลฯ
ที่เขียนมานี้ ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด เพราะตัวเองก็เคยเป็นมาหลายแบบ แต่จากคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เค้าพูดถึง กาก้า นักเตะค่าตัว 100 ล้าน แต่กลับประกาศตัวว่า เค้าเป็นคนที่จะทำชื่อเสียงให้กับทีมต่อไปโดยไม่สนเรื่องเงิน "เงินซื้อไม่ได้" และกาก้านี้เอง เป็นคนที่ใส่เสื้อ "I BELONG TO JESUS"
อยากจะถามตัวเองบ่อยๆ ว่า "ทุกวันนี้อะไรขับเคลื่อนเราอยู่?" เพื่อที่จะไม่หลงไปจาก จุดประสงค์ของชีวิต และ "เป้าหมาย ที่เราดำเนินชีวิตในแต่ละวันสอดคล้องกันหรือไม่?" เพราะเป้าหมายที่เราเคลื่อนไป จะค้นพบได้ในพระเจ้าผู้สร้างเรามาเท่านั้น และด้วยความเป็นมนุษย์ สิ่งที่พยายามจะสั่นคลอนชีวิตคริสเตียน คือการสั่นคลอนในจุดมุ่งหมายที่เราได้รับการทรงเรียก แต่ชายคนหนึ่งทำได้อย่างไร ชายคนที่เกิดมาเพื่อจบลงที่ไม้กางเขน และในที่สุดก็ได้กล่าวว่า "สำเร็จแล้ว!!!" พระเยซู
"มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์
ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว" [Phi 3:12]
"ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป
เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย" [Heb 12:3]
"เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก และจงดำเนินชีวิตในความรัก
เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา
ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชา อันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า" [Eph 5:1-2]