Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

Faithful Father – พระองค์ไม่เป็นพระองค์เองไม่ได้

Father, I can’t explain this kind of love, this kind of grace
I know I still break Your heart
And yet You RUN to WELCOME me

This is my song of praise to You
For who You are and all that You do
From the moment my life began
You have been faithful
[From before the world began
You have been faithful]

Father I love the way you hold me close & say my name
I know when my life is through
My heart will find its home in You

How can we meet the faithfulness of God?

"What man is there among you who, if his son asks for bread, will give him a stone?
Or if he asks for a fish, will he give him a serpent? If you then, being evil,
know how to give good gifts to your children, how much more will your Father
who is in heaven give good things
to those who ask Him!
" [Matt 7:9-11]

"The LORD is good to those who wait for Him to the soul who seeks Him. …
For the Lord will not cast off forever. Though He causes grief,
yet He will show compassion according to the multitude of His mercies
For He does not afflict willingly, nor grieve the children of men.
" [Lam 3:25, 31-33]

+ The lost son in Luke 15

เพลงข้างบนนี้บอกว่า แม้เรายังคงทำร้ายจิตใจพระเจ้าอยู่เสมอ (ทำให้พระองค์เสียใจ)
พระองค์ก็ยังรีบเข้ามาต้อนรับเราเสมอไป พระองค์ยังคงมีอ้อมแขนที่เปิดกว้างรอคอย

ต่อให้เราไม่ดีต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าจะยังคงดีต่อเราเรื่อยไป ไม่เปลี่ยนแปลง

"ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริง
เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์เองไม่ได้
" [2 Tim 2:13]

3 Comments »

The Final Prayer of Own Desire – คำอธิษฐานของสาวอ่อนไหว

หญิงสาววัย 27 ปี กำลังหมุนพวงมาลัยแลมโบกินี่สีแสดบนไฮเวย์ พร้อมกัดปากใช้ความคิด ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเธอจะออกจากบ้านมา ตัวเลขดิจิตอลบอกไปอย่างนั้น  ว่ากำลังเหยียบคันเร่งถึง 160 Kmph เพราะเธอไม่ได้สนใจ … เธอจากบ้านเกิดเมืองนอนมาแสนไกล อยู่ในดินแดนที่ใฝ่ฝัน สองข้างถนนเต็มด้วยต้นไม้สีสันงามตาราวสรวงสวรรค์ ถนนกำลังโค้งวกวนบนภูเขาใหญ่อย่างได้ที่

ที่เธอขับรถออกจากบ้าน เพราะเธอเป็นหญิงสาวอ่อนไหว  ไม่เคยเข้มแข็ง เมื่อเหนื่อยหน่ายกับการงาน และมีปากเสียงกับสามี เธอจึงหันหลังให้กับครอบครัว คว้ากุญแจออกมาร้องไห้ตามลำพัง

อันที่จริง เธอเป็นคนประสบความสำเร็จเรื่องการเงินมากมาย ตั้งแต่เรียนจบเมื่อหลายปีก่อน จนกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียง ในแวดวงธุรกิจมหาชนระหว่างประเทศ เธอเป็นคริสเตียนเสียด้วยล่ะ แต่เสียดายที่อ่อนไหวโอเว่อร์ ระหว่างที่คิดๆๆ เธอจึงหักพวกมาลัยพุ่งลงไปตรงหน้าผาสูงชัน

ก่อนที่รถคันงามจะถูกแรงโน้มถ่วงลงปะทะกับวัตถุใดๆ ชั่ววินาทีช่างยาวนาน จนภาพเหตุการณ์ 27 ปีของเธอฉายออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง 7 ภาพสุดท้าย

เธอเห็น 7 ปีก่อน วันที่ …
เธอบอกพระเจ้าว่าเหตุการณ์ที่พระองค์ให้เจอนั้น โหดร้ายเกินไป
ขอเอาเธอออกไป ไม่อย่างนั้นเธอขอตายด้วยยานอนหลับเสียดีกว่า

เธอเห็น 6 ปีก่อน วันที่ …
เธอบอกพระเจ้าว่าเบื่อผู้คนในมหาลัย ทั้งอาจารย์และเพื่อนๆ
ขอให้วัย 21 ปีของเธอสำเร็จการศึกษาเพื่อจบสภาพแวดล้อมนั้นซะ

เธอเห็น 5 ปีก่อน วันที่ …
เธอบอกพระเจ้าว่าเธอจนมาทั้งชีวิต และใช้ชีวิตอย่างอัตคัตเหลือทน
ขอให้เธอรุ่งโรจน์ในการงาน และทำรายได้มหาศาล มีชีวิตที่สุขสบาย

เธอเห็น 4 ปีก่อน วันที่ …
เธอบอกพระเจ้าว่าเบื่อบ้านเกิดเมืองนอน อยากมีชีวิตเจอะเจอสิ่งใหม่ๆ
ขอให้เธอได้ย้ายไปอยู่ยุโรป และสร้างอนาคตในเมืองธุรกิจที่นั่น

เธอเห็น 3 ปีก่อน วันที่ …
เธอบอกพระเจ้าว่าอยากมีชีวิตคู่กับชายหนุ่มรูปหล่อ พ่อรวย อนาคตไกล
เพราะเธอโดดเดี่ยวเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวโดยไม่ตรอมใจตาย

เธอเห็น 2 ปีก่อน วันที่ …
เธอเริ่มรับใช้พระเจ้าจริงจัง เนื่องจากพระองค์ดีต่อเธอ ตอบคำอธิษฐานมาตลอด
แต่เธอเริ่มอึดอัดกับการอยู่ใต้บังคับบัญชาของคนที่เธอไม่ชอบหน้า จึงย้ายคริสตจักรบ่อยๆ

เธอเห็น 1 ปีก่อน วันที่ …
เธอขอฤทธิ์เดชทั้งสิ้นจากพระองค์ เพื่อทำการอัศจรรย์ รักษาผู้ป่วยหายโรค
เพราะเธออยากเห็นคนมากมายมาเชื่อพระเจ้ามากๆ อย่างรวบรัดที่สุด

ชีวิตเธอเพอร์เฟคมาก อธิษฐานอะไร พระเจ้าให้เธอตามที่ขอหมดทุกอย่าง
ณ วินาทีนี้ เธอทรมานอยู่ราว 3 นาทีกว่า เนื่องจากตัวติดอยู่ในรถใต้ทะเลลึก จนทุกอย่างสงบลง …

แสงสว่างส่องเจิดจ้าอยู่ตรงหน้าเธอ พร้อมด้วยไออุ่นที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
เธอเห็นชายผู้หนึ่ง ซึ่งในชีวิตของเธอไม่เคยเจอใครที่ดูดีเท่านี้มาก่อน เขาใส่ชุดขาวสุกใส
ทันใดนั้น ความกลัวก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อฉุกคิดได้ว่า เธอทำลายพระวิหารของพระเจ้า
ด้วยการคิดสั้น ก่อนถึงกำหนดวาระของเธอ เธออาจจะถูกพิพากษาแบบเดียวกับคนทั่วไป

แต่เสียงอันอ่อนหวาน นุ่มนวล บอกกับเธอว่า “จงตามเรามาเถิด
และเธอก็ได้เห็นบัลลังก์สีขาว พร้อมผู้คนมากมายที่กำลังวางมงกุฎของตนถวายผู้ที่นั่งอยู่
เธอหันไปถามชายหนุ่มหน้าตาใจดี “ฉันไม่มีมงกุฎมามอบให้พระองค์ จะหาได้จากที่ไหน?
กาเบรียลตอบว่า “เธอเคยสัญญากับพระเยซู ว่าศักดิ์ศรี เกียรติ ความสำเร็จ คำชื่นชม
เธอจะนำมามอบถวายต่อพระองค์ ก่อนเธอจะขอสวมกอดพระองค์ แล้วบอกพระองค์ว่า
ขอบคุณพระเจ้า สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก เมื่อย้อนดูแล้ว ทุกสิ่งล้วนดีและเป็นความรักทั้งสิ้น

แล้วทำไมฉันยังไม่มีมงกุฎล่ะ ในเมื่อฉันก็ทำสำเร็จไปหลายอย่างแล้วเหมือนกัน ฉันทำธุรกิจใหญ่โต
บริจาคช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากมากมาย ฉันเทศนา ฉันสร้างสาวกมากมาย

เงินที่เธอบริจาค พระเยซูก็เป็นคนอวยพรเธอทั้งนั้น มีสิ่งใดที่เธอไม่ได้รับมาหรือ ในเมื่อเธอรับมาจากพระองค์
เมื่อปีก่อนที่ฉันจะตาย ฉันก็นำคนมารับความรอดเป็นล้านคนเลยนะ คนหายป่วยก็ไม่น้อย
เธอขอพระองค์ให้ใช้เธอกับมวลชนมหาศาลมิใช่หรือ พระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานนั้นแล้ว
แต่งานของเธอยังไม่ครบตามพระองค์กำหนดไว้เลย ดูเพื่อนพี่น้องของเธอสิ เขายังคงอยู่ที่นั่น
รอคอยจนกว่าจะถึงวันที่พูดว่า ได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ได้แข่งขันจนถึงที่สุด ได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว
แต่เธอขอพระเจ้าเองที่จะไม่รอ จนเธอมาถึงที่แห่งนี้

ฉันเสียใจจริงๆ ที่ไม่มีอะไรมามอบให้พระเยซู ถ้าฉันกลับไปแก้ตัวได้
ฉันจะอดทนจนมงกุฎนั้นสวยงามเป็นประกาย ฉันรู้แล้วว่ามาที่นี่เร็วเกินไป

เมื่อเธออายุ 20 เธอเคยโอดครวญ จนสวรรค์สะเทือน
เพื่อให้พระเจ้าตอบตรงที่เธอต้องการทุกข้อ และขอหยุดน้ำพระทัยสูงสุดเสมอ

ฉันสัญญาว่าจะขอเช่นนั้นเป็นครั้งสุดท้าย คือ ฉันขอให้ได้กลับไปยังโลก เพื่ออดทน
ชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดในชีวิตฉัน เมื่อไปถึงแล้ว ฉันจะไม่ขออะไรตามใจตัวเองอีกต่อไป
เพียงแค่ไม่อยากมาสวรรค์ตัวเปล่า ฉันอยากให้งานทั้งหมดที่พระเจ้าประสงค์ให้ฉันเกิดมานั้นสำเร็จ
ขอให้ฉันได้ทำเพื่อพระองค์บ้างเถอะ
” เธอหันหน้ามาทางบัลลังก์สุกใส
พระเยซูคะ ลูกขอร้อง ลูกอยากนำมงกุฎงามมาถวายพระองค์
ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากปลายทาง มีแต่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยละอองแห่งความรัก

แสงแห่งความมืดโอบล้อมเธอเอาไว้พักใหญ่ และเธอก็พบตัวเองอยู่บนเตียงนอนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
เมื่อลืมตาขึ้น เธอขยับตัวไม่ได้ เพราะหมอจำเป็นต้องตัดแขนและขาของเธอออกระหว่างที่สลบสไล
… แต่เธอจะไม่ขออะไรอีกแล้วจริงๆ …

อยากบอกว่า “อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้” [1 Tim 4:7]

มันเป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้นมา สำหรับคนที่มักจะไม่อดทนกับสิ่งที่พระเจ้ากำลังหล่อหลอม
ในความเป็นจริง พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเราทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ได้ตอบตามความคิดของเรา
ในความเป็นจริง ชีวิตที่ถูกจำกัด เป็นชีวิตที่มีความหมาย ถ้าเรามีทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ตามใจปรารถนา
เราไม่อาจทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จในชีวิตของเราเองได้ และชีวิตไม่เคยมีการ REPLAY
ใครจะรู้ล่ะ เธอคนนั้น อาจจะไม่เห็นอะไรในสวรรค์เลยก็ได้ ได้แต่เสียดายแขนขา ที่ไม่น่าคิดสั้นเอาซะเลย

4 Comments »

Days of Rojjana – นี่เป็นเวลาของรจนา

These are the days of Rojjana, Declaring the Word of the Lord
นี่เป็นเวลาของ รจ-จะ-นา ป่าวร้องถึงพระคำของพระเจ้า
And these are the day’s of Your servant Popsy, righteousness being restored
นี่เป็นเวลาของผู้รับใช้ ป็อปซี่ ความชอบธรรม รื้อฟื้น คืนกลับมา
And tho these are day’s of great trail of famine & darkness & sword
แม้นี่เป็นเวลาแห่งการทนทุกข์ ความกันดาร ความมืด และสงคราม
Still we are a voice in the desert, crying … prepare Ye the way of the Lord
แต่เรายังเป็นเสียงในที่ไกลโพ้น ร้องว่า … จงเตรียมหนทางแห่งพระเจ้า

Behold He comes riding on the clouds
พระองค์ จะมา ด้วยเมฆท่ามกลางนภา
Shining like the sun at the trumpet call
ดุจแสงอาทิตย์แรงกล้า เสียงแตรก้องทั่วฟ้า
Lift your voice, it’s year of Jubilee
ยกเสียงขึ้น ร่วมฉลองปีของพระองค์
Out of Zion’s hill salvation comes
และความรอดจากศิโยน จะเทลงมา

These are the days of AGAPE, the dry bones becoming as flesh
นี่เป็นเวลาของ อากาเป้ กระดูกแห้งได้ฟื้นคืนชีวี
And tese are the days of Your servant David, rebuilding the temple of praise
และนี่เป็นเวลาของผู้รับใช้ ดาวิด รื้อฟื้นพระวิหารการสรรเสริญ
These are the days of the harvest, the fields are as white in the world
และนี่เป็นเวลาเก็บเกี่ยวทุ่งนา ประชากรทุกคนทั่วโลกา
And we are the labourers in vineyard … declaring the word of the Lord
แต่เราเป็นคนงานที่ทรงเลือกไว้ ให้รับใช้ ประกาศพระคำของพระเจ้า

Energy

Food

Heat

Disaster

Etc …

3 Comments »

The Lost Hope – ความทรงจำที่เลือนลาง

ความเสียใจ มักจะมีรูปแบบที่เกิดควบคู่ไปกับความผิดหวัง
เมื่อบางสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง และคนเรามักจะเสียใจกับมัน

"Now HOPE does not DISAPPOINT, because the LOVE of God has been
poured out in our hearts by the Holy Spirit who was given to us
" [Rom 5:5]

ถ้าดูจากรากศัพท์ภาษาไทย อาจเห็นภาพไม่ชัดเจน เพราะภาษาไทยใช้คำว่าหวังทั้ง 2 คำ
แต่ถ้ามีความรัก แม้เราจะ Disappoint เราจะไม่เสียใจกับมัน เพราะเราจะมี Hope

"ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ … " เมื่อนึกถึงประโยคนี้ทีไร พอท่องไปจนเกือบจบ
โดยส่วนตัว จะข้ามประโยคนึงไปเสมอ เป็นข้อความที่เลือนหายไปจากความทรงจำ จำได้แต่ว่า
"เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ ทนต่อทุกอย่าง … ความรักไม่มีวันสูญสิ้น"

คงมีหลายครั้งนะ ที่คนเราเกิดความ "ผิดหวัง" ในตัวบุคคล อาจเป็นเพื่อน ญาติพี่น้อง คนสนิท ฯลฯ และเราก็เสียใจกับมัน
คนบางคน … เรามอบความรู้สึกดีๆ มอบให้ตั้งแต่ยังไม่รู้จักกัน คิดว่าเขาเป็นคนดี สุภาพ นุ่มนวล
แต่ครั้งแรกที่มีโอกาสสนทนา ทุกสิ่งตรงกันข้ามไปซะหมด เราผิดหวัง ทั้งที่ "พยายาม" จะรักโดย "ไม่จดจำความผิด"
แต่ภาพเหตุการณ์นั้นไม่เคยถูกลบออกไปจากความทรงจำ เลยได้แต่ถามตัวเองว่าเราไม่ได้ "ให้อภัย" เขาหรือ?
ในความเป็นจริง เรายังทำดีกับเขาได้อยู่ หยิบยื่นสิ่งดีๆ พูดดีๆ ยังเคารพเขาได้ เพียงแต่ "ไม่อาจ" "ลืม" วินาทีนั้นได้

เหตุการณ์ตัวอย่างนี้เป็นชอทที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีมาแล้ว ครั้งที่จำเป็นต้องยืมรถคริสตจักรไปประกาศที่สวนหลวง
เราตกตะลึงกับคนที่เราคิดว่าเค้าเป็นอย่างในจินตนาการมาตลอด หลังจากนั้นพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างคนนั้น
ว่าคงเป็นแจ็คพอทที่พี่เค้าเจอเรื่องหงุดหงิดมามาก เพื่อจะไม่โกรธเค้า แต่เราลืมภาพนั้นไม่ลงจริงๆ
เพราะวันนั้นก็เป็นวันที่เราจดจำสิ่งอื่นๆ ได้มากมายกว่าวันไหนๆ เช่นกัน มันเป็นวันที่พาน้องๆ ออกประกาศครั้งแรก
มันเป็นวันที่ฟัสเริ่มเข้ามาในกลุ่ม เชื่อว่าพระเจ้ากำลังจะเรียกเค้า มันเป็นวันที่กระชากความคิดอยากอยู่เป็นโสดทิ้งไป ฯลฯ

สิ่งที่เราเฝ้าถามพระเจ้ามาตลอด ว่าการที่ไม่สามารถลืมบางสิ่งบางอย่างนั้น คือ การไม่ยกโทษให้ผู้อื่นหรือเปล่า?
วินาทีที่วันนี้กำลังพักผ่อนในห้องน้ำราวๆ เที่ยงวัน  ถ้อยคำที่หายไปนั้นก็ผุดขึ้นมา "ความรัก…มีความหวังอยู่เสมอ"
นี่คือสิ่งที่ขาดหายจากความจำเซลเลบรัมในสมอง มาพักใหญ่แล้ว เอ่อ ไอ้ที่ควรจำดันลืม ที่ควรจะลืม ดันจำ

อันเนื่องจากช่วงเช้า-สายของวัน มีเหตุการณ์ฉุกเฉินบางอย่างเกิดขึ้น และผู้ที่พระเจ้าส่งมาให้ความช่วยเหลือในวินาทีวิกฤต
ก็ช่างมีน้ำใจอย่างเหลือเชื่อ ผู้หญิงคนนี้ เป็นคนที่เราเคย "ผิดหวัง" ถึงขนาดบอกกับพระเจ้าว่าทำไมเค้าทำให้ลูกเสียใจเหลือเกิน
และขอร้องพระองค์ว่าอย่าได้ให้เรามีโอกาสรับใช้ด้วยกันอีก เพราะเราไม่อยากเห็นใครมาเข้าใจเราผิด แล้วทึกทักเอาเองว่าเราเป็น
อย่างนั้น อย่างนี้ จนมาหงุดหงิดใส่เราไร้เหตุผล แต่ทว่า ….. "ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของพระเจ้าสูงกว่าทางของเรา
และความคิดของพระเจ้าก็สูงกว่าความคิดของเราาฉันนั้น
" ชะตาฟ้าลิขิตโดยพระองค์ ที่ต้องมีโอกาสมาพัวพัน ทั้งที่อยากไกลห่าง

The Lost Hope หรือ ความหวังที่หายไป ผุดขึ้นมาท่ามกลางความรักครั้งใหม่ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าก็รอคอยจากเราเช่นกัน …..
ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าคนที่ทำให้เราหมดหวัง จะมาดีต่อเรามากมายเกินพิกัดได้ในวันหนึ่ง
เค้าช่วยเหลือเราแบบสุดตัวโดยไม่ได้อะไร … ถ้าไม่รักกันจริง ไม่สามารถทำให้กันได้ขนาดนี้หรอก …

เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ก็เกิดความผิดหวังแบบนี้ที่เคยเกิดขึ้นกับอีกคนหนึ่ง คนที่เคยผูกพันกันมากมาย
+ เคยสร้างความประทับใจในการเสียสละของเขาอยู่พักใหญ่ แต่พระเจ้าชอบจัดเหตุการณ์พิสูจน์รักแท้เสมอ
ว่าคนที่เราคิดว่าน่ารักและเรารักเค้าน่ะ รักกันจริงแค่ไหน?
พอเขาแสดงนิสัยไม่ดีกับเราหลายอย่าง (เราทุกคนล้วนเป็นกันได้) เรายังรักโดยการดีตอบกับเขาได้เหมือนเดิมมั๊ย?
บทเรียนนี้เจอมาก็ไม่น้อย แต่กับบางคนมันยากมากๆ จนต้องขอพระองค์เอาออกไปจากชีวิต อย่าผูกพักกันอย่างก่อนอีกเลย
เดี๋ยวรังแต่จะเพิ่มความผิดหวังในตัว … แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ที่จะรักเขาให้มากยิ่งขึ้นได้ ถ้านับวันมันเป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
เคยสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าคนรักที่คบกันมานาน แล้วเลิกกันโดยไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อน ได้จริงๆ หรือ ก็เข้าใจอารมณ์แบบนั้นละ

แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่เคยสาย และมาทันเวลาเสมอ พระองค์หยิบยื่น Jigsaw ที่หายไป
ให้เรามี ความหวัง แทนความเสียใจเพราะผิดหวัง นั่นแสดงว่า ทุกคนยังมีให้หวัง เหมือนที่เรายังมีให้พระเจ้าหวัง

ฉันก็แค่มนุษย์คนนึง ไม่ได้เพอร์เฟคสมบูรณ์แบบ พร้อมที่จะผุดความชั่ว และความคิดแบบมนุษย์ทั่วไปได้ทุกเวลา
แต่มนุษย์ที่มีพระเจ้าอยู่ข้างในคนหนึ่งอย่างฉันนี่แหละ คือ คนที่พระเจ้า "รัก"  เชื่อในส่วนดีของฉันอยู่เสมอ
และรอคอยฉันอย่างมีความหวังอยู่เสมอมา — อาเมน …
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงเลือก และการทรงเรียก พระคุณของพระองค์

P.S. // วันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้ารู้สึกว่าจะต้องส่งพระคัมภีร์ข้อหนึ่งให้น้อง และได้รับการเร้าใจอยู่หลายรอบจนกระทั่งเย็น
ในที่สุดก็ส่งไป ไม่คิดว่าคำเทศนาวันนี้ ช่างตรงกับข้อพระคัมภีร์ที่พระเจ้าดลใจให้ส่ง … Awesome God! จริงๆ
และตอนที่อาจารย์อธิษฐานเผื่อ บอกพระเจ้าว่าไหนๆ อาจารย์ก็มีของประทาน "ถ้อยคำแห่งความรู้"
ขอพระเจ้าเผยพระวจนะผ่านอาจารย์หน่อย ให้เป็นถ้อยคำที่มาจากพระองค์ แค่อาจารย์เอ่ยคำอธิษฐานคำแรกออกมา
พระเจ้าของเราช่างสุดยอดจริงๆ แค่คำแรกก็แตะต้องสัมผัสจิตใจอย่างแรง ขอบคุณสำหรับถ้อยคำแห่งความรัก
ทั้งที่ขาดหายจากการอธิษฐานวันศุกร์ไปเกือบจะ 2 เดือน กลับมาแค่ศุกร์เดียว รู้สึกว่า ดีกว่าจมปลักกับงานหน้าคอมฯ มากนัก
ขอบคุณ และ สรรเสริญ พระเจ้าที่น่ารัก ยิ่งใหญ่ ไม่มีหน้าพระอิฐ พระปูนที่ไหน เหมือนพระองค์ "พระเยซู เป็นที่รักของข้า"

3 Comments »

DVD Killer III – โลกของภาพยนตร์ ภาค 3

DVD Killer I – http://popsyz.spaces.live.com/blog/cns!1C10152FC1BD29D3!1291.entry
DVD Killer II – http://popsyz.spaces.live.com/blog/cns!1C10152FC1BD29D3!1494.entry

หลังจากห่างหายการวิจารณ์หนังรอบก่อนไปนาน เนื่องจากตั้งเป้าว่าจะไม่ดูหนังแล้ว แต่ก็ยังดูจนได้อ่ะ เพียงแต่น้อยลงเยอะเลย คอนเซปต์เดิมคือ ดูแต่ DVD ไม่ได้เข้าโรงหนังเหมือนเด็กแนว และก็เหมือนเดิมค่ะพี่น้อง นึกเรื่องไหนได้ก็หยิบมายำตามแบบฉบับของเดี๊ยน

My IMDB Rate: 8/10 Meet the Robinson (2007)
Lewis เด็กชายผู้มีพรสวรรค์ระดับไอคิว 180 เขาเป็นนักประดิษฐ์ตัวยง และมีความใฝ่ฝันในการตามหาแม่ผู้ให้กำเนิด แต่อยู่ดีๆ ก็มีเด็กผู้ชายประหลาดโผล่มารับเขาไปยังโลกอนาคต ที่ที่เขาเจอกับครอบครัวในฝันที่แสนจะอบอุ่น ระหว่างนั้นก็มีผู้ร้ายที่คอยรังควาน เพื่อจะเปลี่ยนเหตุการณ์ในอดีตบางอย่าง แต่แล้วทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดี (จะสปอยแล้วเด้อ) เด็กน้อย Lewis ได้พบกับตัวเองตอนเป็นหนุ่ม ผู้ซึ่งประดิษฐ์เครื่อง Time Machine ได้สำเร็จด้วยตัวเอง
+/- : ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจาก quote ประจำตัวของ Walt Disney ที่ว่า Keep Moving Forward ซึ่งสร้างแรงบัลดาลใจให้กับผู้คน เรียกว่าเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี๊ดี แถม soundtrack ยังเพราะและความหมายดีทุกเพลงด้วย พอดูเรื่องนี้แล้ว นึกถึงพระคำข้อนึง ตอนมนุษย์สร้างหอบาเบล พระเจ้าตรัสว่ามนุษย์นั้น "ตั้งใจจะทำอะไร ก็ทำได้ทั้งนั้น" (Gen 11:6) สู้ๆ ต่อไปนะจ๊ะ เพื่อนมนุษย์
My IMDB Rate: 7/10 Disturbia (2007)
เมื่อ Kale (Shia LaBeouf) มีเรื่องกับครูที่โรงเรียน เขาจึงถูกโทษจำกัดบริเวณอยู่ภายในรั้วบ้าน หากเลยเขต ปลอกที่ขา จะส่งสัญญาณแจ้งเจ้าหน้าที่ ให้มาจับกุมทันที เขาจึงว่างกับการอยู่บ้านมาก เลยเที่ยวเอาสารพัดกล้อง มาส่องดูสถานการณ์บ้านใกล้เรือนเคียง ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนบ้านใหม่ สาวสวยโรงเรียนเดียวกัน ทำให้ Kale รู้ความเป็นไปของผู้คนมากมาย จนกระทั่งไปเจอกับเพื่อนบ้าน ซึ่งมีรายละเอียดตรงกับฆาตกร ทำให้การใช้ชีวิตที่ถูกจำกัดของเค้านั้น ตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก
+ / – : การรู้อะไรที่ไม่ควรจะรู้ ก็เข้าข่ายทำให้ตัวเอง ตกอยู่ในอันตรายได้เหมือนกัน ตอนแรกนึกว่าหนังตลก ดูไปดูมามันซีเรียสนี่หน่า แต่ก็เดินเรื่องได้สนุกดี พระเอกสุดฮอตแห่งยุค กับนางเอกสวยงามตามสูตร เสียดายที่ตอนไคลแมกซ์ของเรื่องทำภาพมืด จนอิฉันมองไม่เห็น สงสัยตั้งใจทำให้คนดูไม่เห็น จะได้งง 555
My IMDB Rate: 5/10Cloverfield (2008)
หนังโลกาวินาศ วันสิ้นโลก สไตล์คล้าย War of the Worlds มีสัตว์ประหลาดต่างดาวมาถล่มเมือง แต่ว่าการตัดภาพ เป็นการเดินเรื่องของตัวละครที่ถ่าย VDO ไว้ตลอดเหตุการณ์ระทึกขวัญ แบบว่าทุกคนหนีตาย คุณ Jason ก็แบบว่าพระเอกลูกทุ่งบ้านเรา ตามหานางเอกเพื่อจะสารภาพรัก แม้ว่าบ้านเมืองจะถล่มราบเป็นหน้ากอง ไม่มีใครแล้ว
+/- : ใครเข้าไปดูในโรง น่าจะเสียดายตังค์แย่เลย เพราะหนังไม่หนุกเท่าไหร่ เนื้อเรื่องก็อ่อน ดูไม่สมเหตุสมผล ส่วนสัตว์ประหลาดในเรื่อง เหมือนคนสร้าง ไม่ค่อยอยากให้เห็น เพราะจินตนาการอาจไม่ล้ำเลิศกระมัง สรุปแล้ว เรื่องนี้ตายกันหมดทุกคน ตั้งแต่คนถือกล้องจนถึงพระเอก นางเอก 555 สปอยให้หมดซะเลย
My IMDB Rate: 7.5/10 Transformers (2007)
      เรื่องราวของหุ่นยนต์ต่างดาวที่มาบุกโลก และแฝงกายอยู่กับเครื่องจักรต่างๆ เหล่าอธรรมเรียกว่า Cybertron และเหล่าธรรมะเรียกว่า Megatron โดยฝ่ายร้ายมีความสามารถ Hack เข้าไปในอุปกรณ์ Electronic หรือแม้แต่ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ และเหล่ามนุษย์ ก็ต้องร่วมมือกับ Megatron เพื่อกอบกู้โลกเอาไว้ โดยเฉพาะวัยรุ่นตัวเล็กๆ อย่าง Sam Witwicky (Shia LaBeouf อีกแล้ว)
+ / – : ดูแล้วต้องบอกว่าขนลุกมากๆ เป็นหนังอลังการงานสร้างเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะฉากแปลงร่างของหุ่นยนตร์ มันเพอร์เฟคไร้ที่ติ ประมาณว่า วิวัฒนาการภาพยนตร์ไปขั้นนี้แล้วหรือเนี่ยะ?!!! ขนาดเลิกชอบหนังญี่ปุ่นที่มีแปลงร่างไปตั้งแต่เลยวัย แต่โดยรวมหนุกมากจ้า ชอบ Quote ที่บอกว่า "No sacrifice, No victory" หลักการของ bb เลยล่ะ เช่นกัน เราจะมีชัยชนะร่วมกับพระเจ้าได้ เราก็ต้องมีการมอบถวายหมดทั้งชีวิตให้กับแผ่นดินของพระองค์
My IMDB Rate: 7.5/10Enchanted (2007)
      จีเซล หญิงสาวแห่งโลกนิทานพบรักกับเจ้าชายผู้เพียบพร้อม แต่กลับถูกแม่มดใจร้ายกลั่นแกล้ง ทำให้เธอต้องมาโผล่ที่โลกมนุษย์จริงๆ และจับพลัดจับผลู มาอยู่กับครอบครัวพ่อหม้ายลูกติด ในขณะที่เจ้าชาย ก็โผล่มาตามหาตัวจีเซลที่โลกเช่นกัน ในตอนต้นของการ์ตูน เพลง True Love’s Kiss ได้กล่าวไว้ว่า "So to spend a life of endless bliss, just find who you love through true love’s kiss" เป็นเหตุให้เหตุการณ์ในตอน Climax เมื่อเจ้าหญิงถูกวางยาพิษ ต้องหาชายที่เป็นคู่แท้มาจุมพิต เพื่อคนที่มีรักแท้ต่อกัน จะทำให้คนรักที่ตายจาก ฟื้นขึ้นจากความตายอีกครั้ง (ตามนิทาน) และเรื่องนี้ ก็บอกให้รู้ว่า โลกแห่งความจริง มันไม่ได้เหมือนในนิยาย
+/- : จริงๆ เป็นคนไม่คาดหวังอะไร จากหนังแนวอย่างนี้ แต่เรื่องนี้ พอเพลงขึ้นมา ก็อดอมยิ้มและมีความสุขไปด้วยไม่ได้ เพราะเพลงของ Disney โชว์ความเป็นมืออาชีพจริงๆ ทุกอย่างมันดูลงตัว เหมาะเจาะ เป็นอะไรที่ เด็กพอดูได้ ผู้ใหญ่ดูอิน เพราะไม่มีฉากหวือหวา สิ่งที่ดูขัดอยู่หน่อยๆ ตามเนื้อหาแล้ว จีเซลเป็นสาวแรกรุ่น อย่างมากก็น่าจะ 20 กว่าๆ แต่คนที่เล่น อายุปาไป 35 ได้แล้ว จึงเห็นชั้นผิวหนังชัดเกินไป แต่โดยรวม ดีเกินคาด เอาไปเลย 7.5
My IMDB Rate: 7/10 I am Legend (2008)
      การค้นคว้าวิจัยยาต้านมะเร็ง ส่งผลต่อยีนส์ของมนุษย์ ทำให้เกิดไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งถ้าติดแล้ว คนปกติจะกลายเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง เหมือนพวกผีดิบ เมือง New York จึงกลายเป็นเมืองร้างเปล่า ทำให้ Dr.Neville ผู้มีอุดมการณ์แรงกล้า ต้องพลัดพรากจากครอบครัวอยู่ตัวคนเดียว ทั้งเมืองไม่เหลือใคร มีแต่สุนัขคู่ใจ และมันก็ตายลง เค้าทดลองหาวัคซีนต้านไวรัส แต่ก็ไม่ได้ผล จนกระทั่งเจอมนุษย์ที่ยังหลงเหลือในเมืองโดยบังเอิญ ผู้หญิงคนนี้มาพร้อมกับบอกว่า พระเจ้ามีแผนการสำหรับเราทุกคน เธอมาตามเสียงที่พระเจ้าบอก แต่ Dr.Neville ไม่เชื่อ
+ / – : หนังมาสนุกตอนใกล้จบแล้ว แล้วพลอตเรื่องก็ดันเหมือนกับพวก 28 Days/Weeks Later อย่างมากเสียด้วย แต่ว่าจากอังกฤษเป็นเมกาแทน แต่ก็ไม่เลวร้ายเกินไป เพราะแนวคิดของหนังดีมาก เหมือน concept เรื่องข้างบน ก็สมชื่อเรื่อง ข้าคือตำนาน ก็คงต้องแลกกับการอุทิศอันยิ่งใหญ่ จะมีใครซักกี่คน ที่เกิดมาไม่ได้เป็นแค่จุดเล็กๆ ของประวัติศาสตร์ แต่เกิดมาเพื่อคว่ำโลก พระองค์รอคนนั้นอยู่ ชอบที่ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า "The world is quieter now. We just have to listen. If we listen, we can hear God’s plan." จนในที่สุดพระเอกก็ยอมรับและพูดว่า "I’m listening" ฮาเลลูย่า ที่มีหนังแบบนี้
My IMDB Rate: 8/10 300 (2007) "Spartans! What is your profession?"
เรื่องอิงประวัติศาสตร์ของเหล่าผู้กล้าแห่งอาณาจักรกรีก ซึ่งนำกำลัง 300 คนไปต้านกองทัพเปอร์เซียนับแสน เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ กษัตริย์เปอร์เซียที่นำทัพมารบ ตรงกับไบเบิ้ลในหลายๆ เล่ม ในเรื่องนี้ เหมือนเปอร์เซียจะเป็นเจ้าโลก ได้เปรียบเรื่องกองกำลัง แต่ประวัติศาสตร์ (ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ล่วงหน้าเหตุการณ์จริง ในหนังสือดาเนียลนั้น) อาณาจักรกรีกต่างหากที่โค่นเปอร์เซียลงจนเป็นเจ้าโลก และโรมันได้ล้มล้างกรีกได้ก่อนยุคพระเยซูมาประสูติ แต่กระนั้นอิทธิพลแนวคิดของกรีกยังเป็นที่ยอมรับเรื่อยมา ทำให้พระคัมภีร์ใหม่มีภาษาที่ลึกซี้งใช้
+/- : มีคนบอกว่าเรื่องนี้โหดไม่ควรดู แต่ผิดคาด ดูแล้วเป็นหนังในดวงใจไปเลย แบบว่าเท่มากๆ ทั้งนักแสดง เรื่อง ฉาก ฯลฯ ขัดใจไม่กี่อย่าง คือ ไม่ยักกะรู้มาก่อนว่า กษัตริย์เปอร์เซีย มีรสนิยมการแต่งตัวซาดิสซ์อย่างนั้น กับตัวประหลาดน่าเกลียดเว่อร์ซ้า ส่วนภรรยาก็รักสามีจนเสียสละแบบผิดๆ แต่โดยรวมชอบมาก แม้สีภาพจะดูแปลกตาก็ตาม
My IMDB Rate: 8/10 "Yesterday was about honor. Today is about justice" Shooter (2008)
      Bob Lee Swagger (Mark Wahlberg) นักแม่นปืนของกองทัพอเมริกัน มีอันต้องเลิกราเก็บตัวอยู่ในป่าลึก (Warning: จะมี Spoil) แต่แล้วก็มีกลุ่มผู้มีอิทธิผลระดับประเทศ ตามตัวเขาให้ไปอารักขาประธานาธิบดี โดยให้สืบหาจุดที่จะมีคนซุ่มยิงได้ แต่กลายเป็นว่า พอเข้าร่วมงานจริง Bob ต้องกลายเป็นแพะรับบาป โดยมีการจัดฉากที่ถูกวางแผนมาล่วงหน้า และหนีหัวซุกหัวซุนพร้อมบาดเจ็บสาหัส และเขาจะหลุดพ้นข้อกล่าวหาได้หรือไม่ และคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครกัน ไปซื้อ DVD มาดูกันได้จ้ะ
+ / – : แม้พระเอกไม่ได้หล่อเข้าขั้น เนื้อเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ อาจไม่หวือหวา แต่ทว่า ดูแล้วชอบมากเลย ซึ่งหนังแสดงให้เห็นถึงความแม่นปืนสุดยอดของพระเอก ถ่ายกันแบบจะๆ และแอคชั่นล้วนน่าติดตาม แต่ไม่เหมาะกะเด็ก เพราะมีฉากทารุณกรรมผู้หญิง อย่านี้ต้องให้ "น" และมีนักแสดงจากหนังเรื่อง Crash มาร่วมเด่นเป็นสหายพระเอก เป็น FBI ที่ผันมาช่วยคลี่คลายปมอย่างบังเอิญ ใครชอบแอคชั่น ก็ดูซ้า
โปรดอธิษฐานเผื่อวงการ Hollywood ต่อไป ที่จะมีการสร้างภาพยนตร์จากพระคัมภีร์  โดยแต่ละฉากสมจริง สุดยอด
ทำให้คนที่อ่าน BB เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น … I really see this dream comes true

Atonement (2007) [ 4/10 ] เด็กหญิงแอบรักชายหนุ่ม คนรักของพี่สาว ทำให้ความรักของเขาต้องลำบาก
Boy A (2007) [ 6/10 ] เด็กพิเศษ ผู้เคยก่อคดีฆ่าข่มขืนเพื่อนสมัยประถม ชีวิตของเขาจะดำเนินต่อไปอย่างไร
Mist, The (2007) [ 5/10 ] สตีเฟ่น คิงค์ คงชอบทำหนังให้คนดูด่า เอาไป 5 ละกัน ฐานหดหู่ได้ไม่เข้าเรื่อง
There Will Be Blood (2007) [ 6/10 ] หนังออสการ์ก็อย่างนี้แหละ "เดี๋ยวจะมีการนองเลือด" ใครให้ 9-10 เดี๊ยนให้ 6 ตามประสา ไม่ชอบเหมือนใคร 55

Leave a comment »

I Learn It As Well

Leave a comment »

The Presence (in Worship) – การทรงสถิตพระเจ้า

สดุดีบทที่ชอบมากๆ บทหนึ่งคือ สดุดี 139

"ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น
ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดน ผู้ตาย พระองค์ทรงสถิตที่นั่น
ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น
แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์
และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว
้"

อันที่จริงพระเจ้าทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้ในที่ลึกลับ มืดมิดที่สุด
แต่ทำไมมนุษย์ไม่สามารถพบและรู้จักพระเจ้าได้ทุกคน?

"พระเจ้าตรัสว่าเรามิได้อยู่เต็มฟ้าสวรรค์และโลกดอกหรือ" [Jer 23:24]

ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความผิดบาป โลกของมนุษย์ก็เสมือนถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ความสัมพันธ์ที่เคยสนิทสนมก็เสื่อมลง แต่ข่าวดีคือ พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงส่งพระเยซูมาไถ่บาปของเรา ใครก็ตามที่มาเชื่อในพระองค์ สามารถจะสัมผัสการทรงสถิตของพระเจ้าได้ทุกแห่งหนเช่นกัน

แต่การทรงสถิตของพระเจ้า มีหลายรูปแบบ และการสำแดงพระองค์อย่างเฉพาะเจาะจง เกิดขึ้นในคริสตจักร (ผู้เชื่อ) หรือผ่านพระกายของพระองค์ ในการนมัสการ สามัคคีธรรม เป็นต้น "ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น" [Mat 18:20]

ในพระคัมภีร์ มีบุคคลมากมาย ที่สัมผัสการทรงสถิตอันหนาแน่นของพระเจ้า เท่าที่เคยเห็นในพระคัมภีร์ประกอบภาพ ภาพที่สวยงามมากๆ คือ นิมิตของ อิสยาห์ (Isa 6) เอเสเคียล (Ezk 1) นอกจากนี้ การทรงสถิตที่โดดเด่น ได้แก่ พุ่มไม้ของโมเสส, อิสราเอลกับพลับพลา, อิิสราเอลกับเสาเมฆและเสาเพลิง, เตาไฟของเนบูคัสเนซซาร์, คริสตจักรยุคแรก, ยอห์นกับนิมิตยุคสุดท้าย ฯลฯ

การเข้าไปสู่การทรงสถิตของพระเจ้า

"จงเข้ามาเฝ้าพระองค์ด้วยการร้องเพลง … จงเข้าประตูของพระองค์ด้วยการโมทนา และเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ จงถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์" [Psa 100:2, 4]

บทเพลง คือ การเชื่อมโยงจิตวิญญาณ
บทเพลงนมัสการ คือ การเชื่อมโยงจิตวิญญาณของเรากับพระเจ้า
ขณะที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทออกรบ พระองค์จัดนักดนตรีให้อยู่ในทัพ ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า (2 Chr 20) การนมัสการคือ การทรงสถิตของพระเจ้า และนั่นก็ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้เป็นหน้ากอง
นอกจากการถวายบทเพลงแล้ว ความยำเกรงพระเจ้าคือสิ่งสำคัญ อาจารย์ที่สอนเรื่องการนมัสการจากคริสตจักรใหญ่แห่งหนึ่งเคยสอนว่า การแต่งกาย แสดงถึงออกความยำเกรงพระเจ้าด้วย (ซึ่งก็ไม่อยากฟันธงว่าการใส่รองเท้าผ้าใบ เป็นการไม่สำนึกซักทีของเรารึเปล่า) ซึ่งเกี่ยวข้องกับลักษณะชีวิต แต่สิ่งสำคัญคือเรื่องของฝ่ายวิญญาณ

เพลง Praise Looks Good on You ของป๋าดอน มีท่อนหนึ่งกล่าวว่า พระเจ้าต้องการมากกว่าเครื่องถวายบูชา ด้วยการร้องเพลง แต่พระเจ้าต้องการหมดทั้งชีวิต ที่สะอาดบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัย … การสรรเสริญที่ดูดี แท้จริงแล้วก็ขึ้นอยู่กับชีวิตของเรา ซึ่งหมายถึง สิ่งซึ่งสำแดงออกมาจากชีวิตจริงๆ ข้างใน อันเป็นเครื่องหอมที่พอพระทัย

หลายครั้งที่เราอาจจะ Stuck กับการนมัสการ การเฝ้าเดี่ยว การฟังพระคำ แต่พระเจ้าพร้อมและรอเราเข้าไปในการทรงสถิตของพระองค์เสมอ

"ถึงอย่างไรพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ พระองค์ประทับเหนือคำสรรเสริญของคนอิสราเอล" [Psa 22:3]
การสรรเสริญไม่ได้นำพระเจ้าเข้ามาที่ประชุม ไม่ได้ทำให้พระเจ้าลงมาประทับเหนือคริสตจักร การไม่สัมผัส ไม่ได้หมายความว่าเราต้องสรรเสริญมากขึ้น แต่เราอาจจะต้องจัดการบางอย่างกับตัวเอง หรือ บางครั้ง เราก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติฝ่ายวิญญาณ แต่เราก็ไม่สัมผัสพระเจ้า

สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ คือ พระวจนะของพระเจ้า เพราะพื้นฐานแห่งการแตะพระทัยพระเจ้า และพระเจ้าแตะใจเรา คือ จิตวิญญาณ และ ความจริง โดยมีพระเยซูเป็น Centre ของการนมัสการ เพราะเรานมัสการพระองค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่เพียงผู้เดียว

พระวจนะของพระเจ้า คือ ความจริง และ ความจริง คือ พระวจนะของพระเจ้า
บางครั้งก่อนการนมัสการ เรามีจิตใจกระหายหาการทรงสถิต การแตะต้องสัมผัส แต่พอเข้ามาในที่ประชุม ความรู้สึกอาจเป็นสิ่งที่ตรงข้าม ความจริงจะช่วยปลดปล่อยเราออกจากความรู้สึก … เมื่อปีก่อน เคยมีครั้งนึงที่พอเดินมานั่งลงตอนพี่น้องยังไม่เข้ามา รู้สึกเฉยๆ ไม่มีอะไรกระตุ้นการนมัสการได้ แต่เมื่ออธิษฐาน เปิดพระคัมภีร์แค่ข้อเดียว สามารถปลดปล่อยการนมัสการได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

ขอย้ำว่า ความจริง คือ พระคำของพระเจ้า

และความจริงทำให้เราเป็นอิสระ

การทรงสถิตของพระองค์ มิได้อยู่แต่ในคริสตจักร ในอาคาร
แต่เราสามารถสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน เรื่อยไป

1 Comment »