Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

Good Morning Holy Spirit – อรุณสวัสดิ์ค่ะ พระวิญญาณบริสุทธิ์

ไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้มีภาษาไทยมั๊ย แต่ช่วงนี้หามาอ่าน แวแวอีสแวแว (ไหนๆ ก็ไหนๆ )
ก็เลยฉวยโอกาสแปลไว้ที่ Blog นี้ละกัน จะได้เป็นประโยชน์กับพี่น้อง
เราไม่รู้ว่าคนอื่นคิดไงกับ Benny Hinn ผู้เขียนหนังสือเรื่องนี้ แต่สำหรับเรา ก็โอเคระดับนึงล่ะ
(ใครอยากจ้างแปลหนังสือ ส่งมาได้นะคะ ถ้ามีเวลาจะรับ ชอบแปลหนังสือคริสเตียน)

Good Morning Holy Spirit by Benny Hinn

Chapter 1: คืนสั้นๆ คืนหนึ่งใน Pittsburgh: Jim Poynter เพื่อนของผมขอให้ผมนั่งรถไปกับเขาที่พิทเบิร์ก ในรัฐเพนซิลวานเนีย ผมพบกับจิมในการรับใช้ที่โบสถ์เมโธดิสที่ผมอยู่ กลุ่มการเดินทางกำลังจะไปผมกับนักประกาศที่มีรักษาโรค ชื่อ Kathryn Kuhlman … ด้วยความจริงใจ ผมรู้น้อยมากเกี่ยวกับการรับใช้ของเธอ ผมเคยเห็นเธอใน TV และเธอทำให้ผมต้องปิด ผมคิดว่าเธอพูดตลกและดูแปลกๆ ผมเลยไม่คาดหวังอะไรนัก แต่ผมไม่อยากให้จิมเพื่อนของผมต้องผิดหวัง

เราออกจากโตรอนโต้วันพฤหัสช่วงสายๆ และช่วง 7 ชั่วโมงก็ช้าลงเพราะพายุหิมะ เรายังไม่ถึงโรงแรมจนตีหนึ่งตอนเช้า จิมเลยพูดกับผมว่า "เบนนี่ เราต้องไปถึงตีห้า" "ตีห้าเลยหรอ" ผมถามเค้าว่าไปเพื่ออะไร จิมเลยบอกผมว่าถ้าไปหลังจากนั้น เราต้องอยู่นอกประตูอาคารตอน 6 โมง เราจะไม่มีที่นั่ง อืมม ผมไม่อยากจะเชื่อเลย มีใครเคยไปยืนตัวแข็งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นที่โบสถ์บ้าง? แต่จิมบอกว่าเราควรทำอย่างนั้น … มันค่อนข้างหนาวเลย ตีห้าผมตื่นแล้วใส่เสื้อผ้าชิ้นเล็กๆ ที่พอหาได้ ไม่ว่าจะเป็นบูท ถุงมือ ที่ช่วยได้ ผมอย่างกะพวกเอสกิโม

ผมถึงคริสตจักรเพรสไบทีเรียนที่หนึ่ง ในใจกลางเมืองพิทเบิร์ก ขณะที่ยังมืดอยู่ แต่ผมก็ต้องตกใจกับคนหลายร้อยที่ถึงอยู่ก่อนแล้ว และประตูก็จะไม่เปิดจนกว่าอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า กลายเป็นคนตัวเล็กที่ได้เปรียบ ผมเริ่มรู้สึกคันๆ เมื่อเข้าใกล้ประตู และดึงจิมมาอยู่หลังผม มีแม้กระทั่งคนที่หลับอยู่ตรงบันได ผู้หญิงคนหนึ่งบอกผมว่า "พวกเขาอยู่ที่นี่ทั้งคืน แล้วก็เป็นอย่างนี้ทุกอาทิตย์" เมื่อผมยืนอยู่ตรงนั้น ผมก็เริ่มสั่น เหมือนมีใครมาจับตัวผมให้สั่น ผมคิดอยู่แป๊บนึงว่าเป็นอากาศ แต่ผมใส่ชุดที่ค่อนข้างอุ่น และแน่ใจว่าไม่หนาวเกินไป แต่ว่าการสั่นที่ควบคุมไม่ได้ก็เกิดขึ้นอีก ไม่มีอะไรที่เหมือนอย่างนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วก็ไม่หยุดด้วย ผมอายที่จะบอกจิม แต่ก็รู้สึกว่ากระดูกก็สั่น ผมรู้สึกที่เข่า และในปาก "เกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ยะ" ผมสงสัย นี่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ารึเปล่า? ผมแค่ไม่เข้าใจ

แย่งกันเข้าไปในโบสถ์: กว่าประตูจะเปิด ผู้คนก็เบียดเสียดไปข้างหน้าจนผมแทบจะขยับไม่ได้ แต่การสั่นก็ยังไม่ยอมหยุด จิมบอกผมว่า "เบนนี่ พอประตูเปิดนะ ให้รีบวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้" ผมเลยถามว่าทำไม "ถ้านายไม่วิ่งอย่างนั้น คนอื่นก็จะวิ่งแซงนายไป" จิมเคยมาที่นี่ก่อนเลยรู้ว่าต้องทำยังไง … อืมม ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะวิ่งแข่งเข้าโบสถ์ แต่ที่นี่เป็นอย่างนั้น และพอประตูเปิด ผมก็ออกตัวอย่างนักวิ่งโอลิมปิคเลย ผมวิ่งผ่านทุกคนไป หญิงชรา ชายหนุ่ม คนทั้งหมด จริงๆ แล้ว ผมได้แถวหน้าและพยายามจะนั่ง แต่พนักงานบอกว่าแถวหน้าจองแล้ว ผมมาเรียนรู้ทีหลังว่าทีมของ Miss Kuhlman จะคอยเลือกคนนั่งแถวหน้า เพราะเธอเองไวกับพระวิญญาณมาก เธอต้องการให้คนที่คิดบวก และคนที่สนับสนุนการอธิษฐานอยู่ตรงหน้าเธอ ปัญหาเรื่องติดอ่าง ผมรู้ว่าไม่สามารถเถียงกับทีมได้เลย แถว 2 ก็เต็มแล้ว แต่จิมกับผมได้จุดนึงตรงแถว 3

หลายชั่วโมงก่อนเวลาจะเริ่ม ผมถอดเสื้อโค้ท ถุงมือ และรองเท้าบู๊ท ออก เพื่อผ่อนคลาย ผมตระหนักว่าผมก็ยังสั่นมากกว่าเก่าอีก ไม่หยุดเลย การสั่นเกิดขึ้นกับแขนและขาราวกับว่าผมมีเครื่องจักรอยู่ตรงนั้น ประสบการณ์นี้แปลกสำหรับผม ด้วยความสัตย์จริง ผมกลัวเลย เหมือนอวัยวะกำลังเล่นเกมอยู่ … เกี่ยวกับเรื่องสั่น ผมคิดได้แค่ว่าไม่ใช่อาการ "ป่วย" ไม่ได้ติดไวรัสไข้หวัดอะไร จริงๆ แล้ว มันต่อเนื่อง และงดงาม เป็นความรู้สึกผิดปกติที่เหมือนว่าจะไม่เกี่ยวกับร่างกายเลย

ในวินาทีนั้น เกือบจะไม่มีที่ Kathryn Kuhlman ก็ปรากฎตัว ในทันใดนั้น บรรยากาศในอาคารเหมือนถูกประจุแน่น ผมไม่รู้ว่าจะเจออะไร ไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งรอบข้างเลย ไม่มีเสียง ไม่มีเสียงทูตสวรรค์ร้องเพลง ไม่มีเลย ที่ผมรู้ก็คือ สั่นมาแล้ว 3 ชั่วโมง จากนั้นพอเริ่มร้องเพลง ผมพบว่าตัวผมกำลังทำบางอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ผมยืนอยู่ ยกมือขึ้น และน้ำตาก็ไหลลงมาบนใบหน้าตอนที่ร้องเพลง "พระเจ้ายิ่งใหญ่" อย่างกับว่าผมได้ระเบิดออก ไม่เคยที่น้ำตาผมจะร่วงเร็วขนาดนี้ มันเป็นความปิติยินดี เป็นความรู้สึกถึงพระสิริที่แรงกล้า ผมไม่ได้ร้องเพลงอย่างที่ร้องปกติในโบสถ์ ผมร้องจนหมดที่ผมมี และเมื่อถึงท่อน "จิตข้าสรรเสริญ พระเจ้า องค์พระผู้ช่วย" ผมร้องออกมาจากวิญญาณจริงๆ เหมือนผมจมไปกับจิตวิญญาณของเพลงนั้น และเพียงชั่วครู่ ผมตระหนักว่าการสั่นก็หยุดลงทั้งหมด แต่บรรยากาศในห้องยังต่อเนื่อง ผมคิดว่าผมคงถูกรับไปหมดแล้ว ผมกำลังนมัสการเหนือทุกๆ สิ่งที่เคยได้ประสบมา มันเหมือนเข้ามาอยู่หน้าต่อหน้ากับความจริงฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ หรือไม่คนอื่นก็รู้สึกด้วย หรือไม่รู้สึกอย่างผม … ในประสบการณ์การเป็นคริสเตียนตอนวัยรุ่น พระเจ้าสัมผัสชีวิตผม แต่ไม่เหมือนที่พระองค์สัมผัสผมอย่างในวันนั้น

เหมือนเป็นคลื่น: ผมยังคงนมัสการพระเจ้า เปิดตามองไปรอบๆ เพราะทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนถูกดึง และไม่รู้ว่ามาจากไหน มันสุภาพและช้า เหมือนกับสายลมอ่อนๆ ผมมองไปที่กระจกหน้าต่าง แต่มันปิดหมด มันอยู่สูงเกินไปที่จะพัดได้ อย่างไรก็ตาม สายลมอ่อนๆ ที่ไม่ธรรมดาที่ผมรู้สึก เหมือนเป็นมากกว่าคลื่น ผมรู้สึกว่าสิ่งนั้นไหลลงไปที่แขนและขึ้นไปที่อื่นๆ ผมรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวจริงๆ เกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ? ผมจะกล้าบอกใครมั๊ยเนี่ยะว่ารู้สึกยังไง? เดี๋ยวเขาจะคิดว่าผมเสียสติไปแล้ว เพราะเหมือนกับ 10 นาทีนั้น คลื่นของสายลมไหลผ่านผมต่อเนื่อง ผมรู้สึกเหมือนว่ามีใครซักคนพันร่างผมไว้ด้วยผ้าห่มที่แสนจะบริสุทธิ์ ผ้าห่มแห่งความอบอุ่น

Kathryn เริ่มรับใช้ผู้คน แต่ผมจมไปในวิญญาณ พระเจ้าอยู่ใกล้ผมว่าที่ผมเคยเป็น ผมรู้สึกว่าอยากจะพูดกับพระองค์ แต่สิ่งที่ผมพอกระซิบได้คือ "พระเยซูที่รัก เมตตาผมด้วย" ผมพูดอีกที "พระเยซู โปรดเมตตาผมด้วย" ผมรู้สึกว่าไม่คู่ควร ผมรู้สึกเหมือนอิสยาห์ เมื่อพระองค์นำการทรงสถิตของพระเจ้าเข้ามา

"วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด
และข้าพเจ้าอยู่ในหมู่ชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด
เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้า ได้เห็นกษัตริย์ คือพระเจ้าจอมโยธา
"

สิ่งเดียวกันนั้นเกิดขึ้นเมื่อผู้คนได้พบพระเยซู พวกเขาจะเห็นตัวเองสกปรกโดยทันที เป็นความต้องการการชำระล้าง สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับผม เหมือนแสงสว่างดวงใหญ่ส่องเข้ามา สิ่งที่ผมเห็นคือความอ่อนแอ ความล้มเหลว และความบาปต่างๆ และก็เป็นอย่างนั้นอีก ผมพูดว่า "พระเยซูครับ โปรดเมตตาผมด้วย" แล้วผมก็ได้ยินเสียงที่ผมรู้ว่าเป็นพระเจ้า เสียงนั้นช่างอ่อนสุภาพที่สุด แต่ว่าไม่มีผิดพลาด พระองค์ตรัสกับผมว่า "ความเมตตาของเราเหลือล้นสำหรับเจ้า" ชีวิตการอธิษฐานของผมเป็นจุดที่ธรรมดาของคริสเตียนทั่วไป แต่ตอนนี้ ผมไม่ได้กำลังพูดอยู่กับพระเจ้า พระองค์ต่างหากพูดกับผม และ โอ้ว เป็นการสนทนาอะไรเช่นนี้

ผมพิจารณาเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมในแถวที่สามของโบสถ์เพรสไบทีเรียนในเมืองพิทเบิร์ก มันเป็นการบอกล่วงหน้าถึงแผนการในอนาคต ถ้อยคำเหล่านั้นดังอยู่ในหูของผม "ความเมตตาของเราเหลือล้นสำหรับเจ้า" ผมนั่งลงร้องไห้และสะอื้น ไม่มีอะไรในชีวิตผมจะเปรียบเทียบได้ว่าผมรู้สึกยังไง ผมได้รับการเติมเต็มและเปลี่ยนแปลงในวิญญาณที่ไม่มีอะไรอื่นสำคัญอีก ผมไม่แคร์เลยถ้าจะมีระเบิดนิวเคลียร์ในพิทเบิร์กและทั้งโลกแตกสลาย ในชั่วครู่นั้น ผมรู้สึกเหมือนทั้งโลกบรรยายว่า "สันติสุข … ซึ่งเกินความเข้าใจ" (ฟิลิปปี 4:7)
จิมบอกผมเกี่ยวกับการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในการประชุมของ Miss Kuhlman แต่ผมไม่มีความคิดว่าผมจะเป็นพยานอะไรใน 3 ชั่วโมงจากนั้น คนหูหนวกได้ยินทันที ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นจากรถเข็น มีคำพยานการรักษาโรคมะเร็งมากมาย ไขข้ออักเสบ ปวดหัว และอีกมากมาย แม้แต่นักวิจารณ์ที่รุนแรงก็ได้พบกับการรักษาแท้จริงที่เกิดขึ้นในการประชุม เป็นรอบที่ยาวนาน แต่ก็เหมือนเวลาที่ผ่านไปรวดเร็ว ทั้งชีวิตของผม ไม่เคยถูกเคลื่อนไหวและได้รับสัมผัสจากฤทธิ์เดชพระเจ้ามาก่อน

ทำไมเธอถึงสะอึกสะอื้น: การประชุมต่อเนื่องไปและผมก็อธิษฐานอยู่เงียบๆ ทุกอย่างพลันหยุดลง ผมคิดในใจว่า "พระเจ้า ได้โปรดอย่าให้การประชุมนี้จบลงเลย" ผมมองไปที่ Kathryn กำลังเช็ดศรีษะด้วยมือเหมือนเธอเริ่มสะอื้น เธอสะอื้นแล้ว สะอื้นอีกเสียงดัง ดนตรีเงียบ ทีมงานแข็งทื่ออยู่กับที่ ทุกคนจ้องไปที่เธอ และผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงสะอื้น ผมไม่เคยเห็นผู้รับใช้ทำแบบนี้มาก่อน เธอร้องไห้ทำไมหรือ? (มีคนบอกผมทีหลังว่าเธอไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน และสมาชิกทีมงานต่างจดจำวันนั้นได้) เหมือนว่าจะต่อเนื่องไปอีก 2 นาที แล้วเธอก็ยกศรีษะขึ้น นั่นไง เธอห่างไปแค่ 2-3 ฟุตตรงหน้าผม ตาของเธอลุกวาว เธอมีชีวิต ทันใดนั้นเธอมีความกล้าหาญอย่างที่ผมไม่เคยเห็นในใครเลย เธอชี้นิ้วด้วยฤทธิ์อำนาจและความรู้สึกมากมาย ถ้าปีศาจอยู่ที่นั่น เธอคงไล่มันไปเพียงแค่เคาะเดียว

มันเป็นวินาทีที่มีขนาดอันเหลือเชื่อ ยังคงสะอื้น เธอมองไปยังผู้คนและพูดด้วยความรวดร้าว "ได้โปรด" เหมือนว่าเธอขยายคำนี้ว่า "ได้โปรดดด อย่าทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย" เธอกำลังขอร้อง ถ้าคุณจินตนาการออกถึงคุณแม่ที่ขอร้องนักฆ่าไม่ให้ยิงลูกน้อย มันเหมือนอย่างนั้นเลย เธออ้อนวอนขอร้อง "ได้โปรด" เธอครวญ "อย่าทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย" แม้แต่ตอนนี้ ผมก็เห็นดวงตาเธอ มันเหมือนว่าดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องตรงมาที่ผม และเมื่อเธอพูดอย่างนั้น คุณจะได้ยินเสียงเข็มหนึ่งอันหล่น ผมไม่กล้าหายใจ ผมไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อ ผมจับม้านั่งตรงหน้า สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเลยบอกว่า "คุณไม่เข้าใจหรือ? พระองค์คือทุกสิ่งที่ฉันมี" ผมคิดว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ เธอยังคงพูด "ได้โปรด! อย่าทำให้ร้ายพระองค์ พระองค์คือทุกอย่างที่ฉันมี อย่าทำให้คนที่ฉันรักต้องเจ็บปวด" ผมไม่มีวันลืมคำพูดเหล่านั้นได้ ยังจำถึงความเข้มข้นของลมหายใจที่เธอพูดสิ่งเหล่านั้น

ในคริสตจักรของผม ศิษยาภิบาลพูดถึงพระวิญญาณแต่ไม่เหมือนอย่างนี้ สิ่งที่ ศบ อ้างอิงต้องเป็นเรื่องของของประทาน ภาษาแปลกๆ และการเผยพระวจนะ ไม่ใช่ "พระองค์เป็นคนที่สนิทสนมที่สุด เป็นกันเอง สนิทที่สุด เป็นเพื่อนที่รักยิ่งที่สุด" Kathryn Kuhlman กำลังบอกผมถึงบุคคลที่เป็นจริงมากกว่าคุณหรือผม เธอชี้นิ้วลงมาที่ผมและพูดอย่างชัดเจนที่สุดว่า "พระองค์เป็นจริงยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นในโลกนี้!"

ผมต้องมีให้ได้: เมื่อเธอมองมาที่ผมและทำเสียงอย่างนั้น มีบางสิ่งได้ทะลวงเข้าไปภายในผมจริงๆ เข้ามาและผมก็ร้องว่า "ผมต้องมีสิ่งนี้ให้ได้" ตอนนี้ผมคิดอย่างเปิดเผยว่าทุกคนในที่ประชุมรู้สึกเหมือนกันอย่างแน่นอน แต่พระเจ้ามีหนทางที่จะสัมพันธ์กับเราเป็นส่วนบุคคล และผมเชื่อว่าการประชุมนั้นสำหรับผมเท่านั้น โปรดเข้าใจนะครับ ว่าคริสเตียนใหม่อย่างผมไม่สามารถเริ่มเรียนรู้ว่าเกิดอะไรในที่ประชุม แต่ผมไม่ปฎิเสธความเป็นจริงและฤทธิ์อำนาจที่ผมรู้สึกได้

และเมื่อการประชุมมาถึงจุดสุดท้าย ผมมองไปที่นักประกาศหญิง และมองเห็นเหมือนมีหมอกรอบๆ เธอ และบนเธอ ตอนแรกผมคิดว่าตาผมผิดปกติ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หน้าของเธอส่องสว่างอย่างกะแสงในหมอก ผมไม่เชื่อซักแว๊บนึงเลยว่าพระเจ้ากำลังพยายามส่องสว่าง มิส คูแมน แต่ผมเชื่อว่าพระองค์ใช้การประชุมนั้นสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์แก่ผม … เมื่อการประชุมเลิก ฝูงชนเรียงแถวออกไป แต่ผมไม่ต้องการขยับ ผมวิ่งเข้ามา แต่ตอนนี้ผมต้องการแค่นั่งลงและไตร่ตรองว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ผมรู้สึกในอาคารเป็นสิ่งหนึ่งที่ในชีวิตส่วนตัวให้ผมไม่ได้ ผมรู้ว่าเมื่อผมกลับบ้านไป จะมีการข่มเหงอย่างต่อเนื่อง

ภาพของตัวผมเองจะถูกทำลายอย่างชัดเจนเพราะการขัดขวางด้วยคำพูดของผม แม้ว่าตอนเด็กในโรงเรียนคาทอลิก การพูดติดอ่างทำให้ผมโดดเดี่ยว และแทบไม่มีใครคุยด้วย และแม้เมื่อผมมาเป็นคริสเตียน ผมมีเพื่อนไม่กี่คน แล้วผมจะพบผู้คนใหม่ๆ ได้ยังไง เมื่อผมแทบจะคุยกับใครไม่ได้? … ดังนั้นผมไม่เคยต้องการสิ่งที่ผมได้รับในพิทเบิร์กเพื่อทำให้ผมไม่มีใครเลย สิ่งที่ผมต้องการในชีวิตคือพระเยซู และไม่มีสิ่งอื่นใดในชีวิตที่มีความหมาย ผมไม่มีอนาคต ครอบครัวผมหันหลังให้กับผม โอ้ ผมรู้ว่าพวกเขารักผม แต่การตัดสินใจรับใช้พระคริสต์สร้างขนาดให้มันกว้างขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด … ผมนั่งอยู่ตรงนั้น ใครอยากจะไปนรกหลังจากที่เคยไปสวรรค์บ้าง? แต่ไม่มีทางเลือก รถบัสกำลังรอเราอยู่และผมเองก็ต้องกลับไป ผมหยุดที่ด้านหลังโบสถ์อยู่แป๊บนึง คิดว่า "เธอหมายความว่าไง? เธอกำลังพูดอะไร เมื่อเธอเอ่ยถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์?"

ตลอดทางที่กลับโตรอนโต้ ผมยังคงคิดอยู่ตลอด "ผมไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร" แม้ผมจะถามคนซัก 2-3 คนบนรถก็ตาม พวกเขาก็บอกไม่ได้เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องพูด เมื่อผมถึงบ้าน ผมแทบหมดแรง เหมือนคนอดนอน ชั่วโมงบนถนนนั้น และประสบกาณ์ฝ่ายวิญญาณเหมือนกับ Roller Coaster ร่างกายของผมพร้อมที่จะพักแล้ว แต่ผมก็นอนไม่หลับ รู้สึกล้าที่กระดูก แต่ว่าวิญญาณของผมยังตื่นเหมือนภูเขาไฟที่ประทุอย่างต่อเนื่องไม่หยุดภายในของผม

รู้จักการทรงสถิตของพระเจ้า

ใครผลักผมเนี่ยะ?
เมื่อผมล้มตัวลงนอน ผมรู้สึกเหมือนมีใครผลักผมออกจากเตียง และเข้ามาตรงเข่าผม เป็นความรู้สึกที่แปลก แต่ผมรู้สึกอย่างรุนแรงว่าผมต่อต้านไม่ได้ ผมจึงอยู่ตรงนั้น ในความมืดมิดของห้อง คุกเข่า  พระเจ้ายังไม่ได้เข้ามาหาผมหรอก และผมก็ตอบสนองการทรงนำ ผมรู้ว่าผมอยากจะพูดอะไร แต่ผมแทบไม่รู้เลยจะถามว่ายังไงดี สิ่งที่ผมต้องการคือสิ่งที่ผู้รับใช้ในพิทเบิร์กมี ผมคิดว่า "ผมต้องการในสิ่งที่ Kathryn Kuhlman มี" ผมต้องการทุกๆ อณูและทุกเส้นใยในผม ผมหิวกระหายสิ่งที่เธอพูดถึง แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจเลย

ใช่ ผมรู้ว่าผมต้องการพูด แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ผมเลยตัดสินใจที่จะขอด้วยวิธีที่ผมรู้ ด้วยคำง่ายๆ ของผมเอง ผมต้องการระบุเป็น พระวิญญาณบริสุทธิ์แต่ไม่เคยทำมาก่อนเลย ผมคิดว่า "ผมกำลังถูกรึเปล่าเนี่ยะ?" ผมไม่เคยพูดกับพระวิญญาณ ไม่เคยคิดว่าพระองค์เป็นบุคคลที่จะระบุได้ ผมไม่รู้จะเริ่มอธิษฐานยังไง แต่ผมรู้ว่ามีอะไรอยู่ในผม สิ่งที่ผมต้องการทั้งหมดคือรู้จักพระองค์อย่างที่เธอรู้จัก … และผมก็อธิษฐานว่า "พระวิญญาณบริสุทธิ์ Kathryn Kuhlman บอกว่าพระองค์เป็นสหายของเธอ" ผมพูดต่อช้าๆ ว่า "ผมไม่คิดว่าผมรู้จักพระองค์ ตอนนี้ ก่อนวันนี้ ผมคิดว่าผมรู้ แต่หลังจากการประชุม ผมคิดว่าผมไม่รู้จักจริงๆ ผมไม่คิดว่าผมรู้จักพระองค์" จากนั้นผมเหมือนเด็ก ยกมือขึ้นไป และขอ "ให้ผมพบพระองค์ได้มั๊ย? ผมจะพบพระองค์ได้จริงๆ หรือเปล่า?" ผมสงสัยว่า "สิ่งที่ผมพูดอยู่มันถูกรึเปล่า? ผมควรพูดกับพระวิญญาณอย่างนี้มั๊ย?" แล้วผมก็คิดว่า "ถ้าผมจริงใจ ไม่ว่ายังไง พระเจ้าจะสำแดงให้ผมว่ามันถูกหรือผิด?"

หลังจากที่ผมพูดกับพระวิญญาณ เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเริ่มถามตัวเองว่า "จะมีประสบกาณ์ที่ได้พบกับองค์พระวิญญาณจริงๆ หรือเปล่า? มันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ หรือ?" ตาของผมปิดอยู่ จากนั้นเหมือนว่ามีไฟฟ้าที่สั่น ตัวของผมเริ่มสั่นไปหมด ผมใช้เวลา 2 ชั่วโมงรอเข้าไปในโบสถ์ มันเป็นอาการสั่นเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าอีกชั่วโมงเกิดขึ้นภายในอีกครั้ง … ผมคิดว่า "โอ้ มันเกิดขึ้นอีกแล้ว" แต่ว่าครั้งนี้ไม่มีฝูงชน ไม่มีเสื้อผ้าหนักๆ ผมอยู่แต่ในห้องอุ่นๆ ของผมในชุดนอน สั่นตั้งแต่หัวจนถึงนิ้วเท้า ไม่กล้าเปิดตา ครั้งนี้เหมือนว่าทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเดียวกับในประชุม ทุกอย่างหมุนเข้ามาในชั่วครู่ ผมกำลังสั่น แต่ขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกเหมือนผ้าห่มอุ่นของฤทธิ์เดชพระเจ้าห่มรอบตัว

ผมรู้สึกเหมือนผมกำลังถูกพาไปสวรรค์ แน่นอนว่า ผมไม่ได้ แต่ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เชื่อว่าสวรรค์จะใหญ่ได้กว่านั้นแล้ว จริงๆ ผมคิดว่า "ถ้าผมเปิดตาออก ผมจะอยู่ในพิทเบิร์ก หรือ ภายในกำแพงนั้น" หลังจากนั้น ผมเปิดตาออก ด้วยความประหลาดใจ ผมอยู่ในห้องเดิม พื้นตรงที่เดิม ชุดนอนเดิม แต่ผมยังรู้สึกซาบซ่านด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผมหลับในตอนกลางคืน ผมไม่ได้ตระหนักว่ามีอะไรเริ่มเกิดขึ้นในชีวิต

คำแรกที่ผมพูด: ก่อนอื่น เช้ามากๆ ในเช้าวันถัดมา เมื่อตื่นขึ้นมา ผมอดที่จะรอพูดคุยกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งพบไม่ได้ นี่เป็นคำแรกที่ผมพูดออกจากปาก "อรุณสวัสดิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์!" ครู่หนึ่งผมก็พูดถ้อยคำเหล่านี้ บรรยากาศที่มีรัศมีเข้ามาในห้องผม เวลานี้ แม้ผมไม่ได้สั่น แต่สิ่งที่ผมรู้สึกทั้งหมดคือการห่อหุ้มของการทรงสถิต ครั้งที่สองที่ผมพูดว่า "อรุณสวัสดิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์!" ผมรู้ว่าพระองค์สำแดงกับผมในห้อง ไม่เพียงแต่ผมได้รับการเติมเต็ด้วยพระวิญญาณในตอนเช้า ผมยังถูกเติมด้วยความสดชื่นทุกครั้งที่ใช้เวลาอธิษฐาน

ที่เหลือลองหาอ่านต่อดูนะคะ มีให้ดาวโหลดใน SkyDrive ของข้าพเจ้าเนี่ยะแหละค่ะ

Wrote by Benny Hinn
Translated by Rojjana Pikulngern

11 Comments »