Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

All of my righteousness is completely in JESUS

"ข้ายึดความชอบธรรมของข้าไว้มั่นไม่ยอมปล่อยไป
จิตใจของข้าไม่ตำหนิข้า ไม่ว่าวันใดในชีวิตของข้า
"
[Job 27:6]

อ่านแล้วขำดีนะ ชีวิตโยบเนี่ยะ … เป็นคนดีจัด จนมโนธรรมไม่รู้สึกบกพร่องเลย
ถึงขนาดที่เขาบรรยายไว้ในบท 31 ว่า …
ไม่เคยหลีหญิง ไม่เคยหลอกลวง สัตย์ซื่อ เอ็นดูคนยากคนจน ไม่โลภสิ่งใดๆ ฯลฯ

เทียบกะเราไม่ได้เลย จัดเหมือนกัน แต่คนละด้าน
มโนธรรมเดือดร้อนตลอด ก่อนจะค้นพบความจริง

ความจริงที่ว่าคือ พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว
Popsy เป็นคนดีพร้อม เป็นคนชอบธรรม โดยไม่เกี่ยวกับมโนธรรมใดๆ
เพราะการเสียสละของพระเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักต่อมวลมนุษย์
ยอมสละพระชนม์ โน้มตัวลงมา หยิบยื่นความรัก ให้แก่มวลมนุษย์
นำเอาคำแช่งสาป สิ่งที่ตราหน้ามนุษย์ว่ามันผิดมันบาป ออกไปสิ้น
ด้วยการยอมถูกแช่งสาปแทนเรา บนไม้กางเขน อย่างเจ็บปวดสาหัส
ทุกอย่าง ครบ บริบูรณ์ เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ ในพระเยซูคริสต์

5 Comments »

[พระองค์] โครตรักเองเลย (ไอ้กร๊วก)

จากที่เมื่อคืนยังคิดอะไรไม่ค่อยออก ถ่ายเทความรู้สึกลงไปในหน้าเสปซมากมาย
วันนี้ก็ตื่นไปโบสถ์ ด้วยท่าทีที่ผิดมากๆ เราร้อนรุ่มกลัวจะไปไม่ทันเล่นเปียโน และมันก็เป็นจริง
แจ้จี๊ดบอกให้มาโทษได้เลย ถ้าไม่ทัน ก็มัวแต่ให้รอแจ้ที่เดี๋ยวก่ง เดี๋ยวก่อน ฮือๆ สายอีกแล้ว
เลยบอกให้หลานเบนเล่นไปก่อน ไม่คิดว่าจะสายมาก ไปถึง เข้าเพลงช้าแล้ว … ขอโทษจริงๆ พี่น้อง

คำเทศนาวันนี้ อาจารย์ Soo Woong Park ดูไม่รู้เลยว่ามีอายุมาก มาจากเกาเหลา เกาหลี
ด้วยข้อพระคำจาก Matthew 6:24 แค่เปิดพระคัมภีร์ ก็น้ำตาร่วงทันทีที่เห็นคำว่า "No one can serve two masters"
ก็ Blog ข้างล่าง ที่เขียนไปเมื่อคืน มันยังคลุมเครืออยู่เหลือเกิน ทำไมมันตรงกับฉันอย่างนี้เนี่ยะ!
จริงๆ ช่วงนี้รู้สึกแย่กับตัวเองมาก อยากออกมาห่างๆ วินัยที่เคยทำในการเฝ้าเดี่ยว แปลกมะ?
(ก็มันเจออะไรในชีวิตมากมายเลย ใครคิดว่าการออกจากงานมารับใช้พระเจ้านั้นง่าย สุดยอดแห่งการฝ่าฟัน
แล้วก็น้อยใจพระองค์ในหลายๆ เรื่อง รวมทั้งการรอคอยอันแสนนาน + ความอ่อนแอส่วนตัว)
แต่พระเจ้ากลับไม่ได้มีคำเก็บไว้รอตำหนิ หากแต่พระองค์หาทางนำเรากลับไปด้วยความรัก เสมอมา

ตลอดคำเทศนา พยายามบอกพระองค์ "พระองค์โปรดหยุดเถิด ลูกไม่อยากน้ำตาร่วงไปกว่านี้"
แต่ผลที่ได้ กลับยิ่งร้องไห้หนัก พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวในคำเทศนาในเช้าวันนี้กับเรามากๆ
ชีวิตของอาจารย์ท่านนี้เป็นพยานที่ดีมาก อาจารย์ใช้ชีวิตในมหาลัยด้วยความุมานะ อยากรวย อยากมี
แต่วันหนึ่งอ.ก็ถามตัวเอง ว่าผมเป็นใครกันนี่ แล้วเราจะเลือกอนาคตไปทางไหนอย่างไร?
ฟังคำพยานของอาจารย์แล้วตรงกับชีวิตเรามากๆ เพราะสิ่งที่เกิดกับ อ. เกิดกับเราทุกๆ อย่าง
ทำให้นึกถึงเมื่อคืน ที่เพื่อนคริสเตียนอเมริกันขอให้เล่าคำพยานให้ฟัง
หวังว่าหลังจากวันนี้จะเขียนคำพยานได้ละเอียดขึ้น และเป็นพระพรมากยิ่งขึ้น

ความฝันของคนไม่เชื่อพระเจ้า มีจุดประสงค์เพื่อตัวเอง คือ ความทะเยอทะยาน
แต่เมื่อคนๆ หนึ่งกลับใจติดตามพระเจ้า เป็นคริสเตียนแล้ว ความฝันของเขาเพื่อพระเจ้า คือ นิมิต
ความทะเยอทะยานเริ่มต้นจากตัวเราเอง แต่นิมิต พระเจ้าเป็นผู้เริ่มต้น
ความทะเยอทะยาน เราต้องพัฒนาเพิ่มพูน ทักษะ ความรู้ เพื่อเราจะได้เป็นที่ยอมรับ
นิมิต พระเจ้าเป็นผู้เพิ่มพูน ด้วยการที่เราแสวงหาพระองค์ เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ

หลังจากที่อาจารย์ได้ต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต ความฝันของอาจารย์ก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง
เป้าหมายชีวิตที่เรียนหมอเพื่ออยากรวยก็เปลี่ยนไป อ.เลือกเป็นวิสัญญีแพทย์ (ให้ยาสลบ)
เพราะ อ.ใช้ชีวิตทำงานที่อเมริกา พูดอังกฤษสำเนียงเกาหลี คุยกับคนอเมกันไม่รู้เรื่อง
และ อ.ต้องการงานที่ไม่รัดตัว แต่มีเวลาในการรับใช้พระเจ้ามากยิ่งขึ้น

เชื่อว่าพระเจ้าจัดเตรียมเหตุการณ์ให้เรา จนฟังคำเทศนาวันนี้แล้ว TOUCH มากๆ
อ.บอกว่าเมื่อเป้าหมายเราอยู่ในพระเจ้า งานของเรา อนาคตของเราก็มีแต่เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า
แต่ถ้าเรามีเป้าหมายของตัวเอง เราอาจจะทำงานเพื่อมีเงินมากๆ หรือเพื่อความก้าวหน้า ชื่อเสียง ฯลฯ
อันที่จริงเราก็ออกมาเพื่อสิ่งนั้น แต่พอเจอเข้ากับเหตุการณ์จริงหลายๆ อย่าง มันยาก+ลำบาก กว่าที่คิด
สถานการณ์รอบข้างทำให้เราเกือบเขวทิศทางไปหลายทีแล้ว ดีว่าชอบขอหมายสำคัญแบบกิเดโอน 55

ตอนนี้เหลือเพียงขอพระเจ้า Stir me up on fire และ Add me more love more power
เพราะความรักแห้งเหี่ยว และวิญญาณเด็ก (เนื้อหนัง) มากขึ้นทุกทีๆ
ถึงขนาดที่ว่าวันนี้หงุดหงิดใส่คนที่เราไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด พระคำลอยมาเลย
ว่า "ถ้าเราทำดีแต่กับคนที่เค้าดีกะเรา จะต่างอะไรกับคนบาปที่ยังไม่ได้พบความรักของพระเจ้า?"
แต่คิดไปเองว่าเจ้านี่มันไม่ใช่คนบาป แต่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้วนี่หน่า ไม่ยุ่งไปเลยจะดีกว่ามั๊ย?

ก็ครั้งนึงที่พระองค์ใช้ให้ไปเตือนบางคนด้วยย้ำใน 1Co 5:11 ว่า
"ถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยัง… อย่าคบคนอย่างนั้น แม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย"
"จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขา สองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา" Mat 18:15
และมีการย้ำผ่านอีกๆ หลายๆ อย่าง ปรากฎว่าการเตือนครั้งนั้น ถึงขนาดว่าเสียเพื่อนทุกวันนี้
ทั้งที่ตอนแรกบอกพระองค์ล่วงหน้าว่าต้องเสียเพื่อน ไม่อยากเตือน แต่โดน Eze 3:18-19 เข้าไป

รู้แต่ไม่ชอบการทดลองแบบนี้เลย มันยากสำหรับลูกมากๆ ทำให้รู้ว่าเรานี่ช่างเลวร้าย ทำไม่ได้เลย
ทำใจยากมากกับคนที่ชอบเอาเราไปว่าลับหลัง แล้วบอกอีกคนว่าอย่าให้เรารู้ ความลับไม่มีในโลกหรอก
อีกประเภทนึง คือ ไม่ชอบผู้ชายที่ชอบเอาเปรียบผู้หญิง เพราะตามปกติผู้ชายต้องให้เกียรติผู้หญิง
ไม่ใช่สปอร์ตกับคนที่ตัวเองชอบ และอยู่กับคนอื่น ไม่มีน้ำใจ แถมยังทำอะไรที่ตรงกันข้าม + ก้าวร้าวใส่
วันนี้เจอ 2-3 เคสนี้ ในบุคคลคนเดียวกัน เด็กเลยอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาชั่ววูบ และความรักก็ยังไม่มากพอเหมือนเดิม

แต่ตอนที่ปลีกตัวออกมา พระองค์นำให้ได้พูดคุยกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งมีท่าทีที่ดีอย่างเหลือเชื่อ
ท่านกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากๆ และให้คำที่หนุนจิตชูใจประกอบด้วยความรัก
ท่านบอกว่า คนเราทุกคน มันมีปมที่เป็นจุดเปลี่ยนเพียงนิดเดียว เราไม่รู้ตรงนั้น แต่พระเจ้ารู้
เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็จะทำ หน้าที่ของเราคืออดทน อธิษฐาน และการเฝ้ารอคอย

ก็ว่าจะเลิกเล่นเปียโน จะได้มีเวลาไปเทคแคร์คนใหม่ๆ และคอยตามคนเข้ากลุ่ม
วันนี้พี่ก็ฝากฝังน้องเจนมา แต่ต้องซ้อมดนตรี เลยปลีกตัวไม่ได้ แถมที่ผ่านมามีเรียกประชุมตลอด
น้องจิมบอกจะมาเจอกัน ก็ไม่ทันเห็น อุตส่าห์คิดถึงตั้งเยอะแน่ะ …

ตัดไปหลังซ้อมเสร็จ เราจะไป Bangkok Call #4 กันที่หน้ารามฯ ไม่ได้เข้ากลุ่มเช่นเคย
ก็กินกลางวันไกลๆ ทีไร ถ้าอยู่กันน้อยๆ กลุ่มล่มทุกครั้งอ่ะ เพราะมันนานไงกว่าจะกลับเข้ามากัน
ทุกคนเลยกระจัดกระจาย เกเก้ งอแงอีกแล้ว บอกจะไปแล้วไม่ไป เราเลยไปนั่งรอชุชะที่บ้าน 555
เจอ บูบู้ สุนัขจอมตะปบ + นั่งหม่ำชอคโกแลต + เล่นเว็บแคม + ลืมชีทเพลงจนได้

ไปถึงงาน Bangkok Call #4 หน้ารามฯ ณ ราชมังคลาฯ แดดร้อนเหมือนกันนะ ได้เสื้อมาตัวนึง 180 บาท
วันนี้ไม่เต็มอิ่มกับการนมัสการเท่า 2 ปีก่อนที่เคยจัดที่เดียวกัน เพราะมัวแต่หงุดหงิดอย่างที่เล่าไปข้างบน
เลยไม่เป็นอันอยู่กับที่ ไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก จนกระทั่งช่วงของพี่แยม บงกช ตามด้วย คจ.ปากเกร็ด
ช่วงนั้นจะสัมผัสพระเจ้ามากหน่อยในการนมัสการ และก็ได้เจอหน้าค่าตาเพื่อนๆ พี่น้องจากโบสถ์ต่างๆ กันอีก

กลับบ้านประมาณเกือบๆ 5 ทุ่ม แม้ไม่ค่อยได้โดดเท่าไหร่นัก แต่กลับบ้านแล้วมันเหนื๊อย เหนื่อย จริงๆ
หัวข้อวันนี้ก็ประมาณว่า ไอ้คนนิสัยไม่ดีเลยคนนึง เป็นเด็กดื้อ เด็กโง่ พระองค์ก็ทำกับเราทุกอย่างด้วยความรัก
แค่ไอ้กร๊วกคนนึงอ่ะ ทำไมพระองค์จัดสรรอะไรให้เราดีขนาดนี้ อยากจะคิดว่าเป็นคำเทศนาเฉพาะเราคนเดียวด้วยซ้ำ
นั่งน้ำตาไหล ร้องไห้ตั้งแต่เริ่มเทศน์จนจบด้วยเพลง "Seek Ye First the Kingdom of God"
พระเจ้าโครตรักเอ็งเลยว่ะ (ขอโทษที่ไม่สุภาพ แต่ไม่รู้จะบรรยายความรักนี้ยังไง)

ความมั่งคั่ง ความบริบูรณ์ ชื่อเสียง เงินทอง Prosperity ทั้งหมดเป็นแค่เงาของพระพร
เราไม่ได้เชื่อพระเจ้าเพื่อให้มีตรงนั้นเป็นอับดับ 1 แต่เราจะได้ "พระเจ้า" มาเป็นของเราต่างหาก
มีคำถามหนึ่งคือ คนที่เรารัก คนที่คาดหวังจากเรา เราจะตอบแทนเขาได้ยังไงบ้าง?
แต่นั่นก็คงเป็นแค่เงาเหมือนกันรึเปล่า? ตอบแทนพระเจ้าก่อน แล้วหนทางอื่นๆ จะตามมาด้วยเนอะ


เพื่อนชะ ละพี่อะไรน้าา?? จำชื่อไม่ได้
ช่างกล้ามาถ่ายด้วย (^__^) แต่น่ารักดี


AGAPE’ มากันแค่นี้ 😦
 

1 Comment »

:'(

พระองค์คะ
 
หนูฟังเพื่อนแล้วอยากจะร้องไห้
หนูจะทำยังไงกับชีวิตดีอ่ะคะ?
งานที่พระองค์ใช้หนูมันเข้าไปอยู่ในนิมิตและคำอธิษฐานของเค้าอย่างเหลือเชื่อ
แต่หนูรับใช้พระองค์แล้ว ก็ไม่มีใครเข้าใจหนูเลย
หนูกำลังทำอะไรอยู่วันนี้
หนูกำลังปั่นเว็บบริษัท เพื่อจะกอบกู้สถานะทางการเงิน
แต่นั่นหมายถึง หนูต้องหยุดงานรับใช้ของพระองค์ เพื่อเอาเวลานั้นมาทำงานนี้
 
หนูไม่อยากทำอะไรไร้สาระอีกแล้ว
หนูไม่อยากให้เวลาสูญไปกับสิ่งที่ได้มาแค่คำชื่นชมของคนอื่น
สิ่งที่หนูคิดไว้ว่าจะทำเพื่อพระองค์ มันไม่มีค่าสำหรับคนรอบข้างซักหน่อย
หนูอยากกลับไปตรงนั้น … ที่ๆ พระองค์สละชีวิตอันสูงส่งเพื่อให้หนูรอดจากไฟนรก
ถ้าไม่เพราะการถ่อมตัวของพระองค์ลงมายังโลกใบนี้ หนูต้องตายในความพินาศ
ในความบาปของตัวเอง ซึ่งมีมากมาย ….. โปรดนำหนูไปยังไม้กางเขนนั้น
 
สิ่งที่พระองค์ใช้ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าหนูจะทำได้
เพราะหนูบอกพระองค์ได้คำเดียวว่าหนูหมดแรง
และความเชื่อของหนูก็มีไม่เพียงพอสำหรับงานนี้
 
แม่คะ … หนูรักแม่
พี่ๆ คะ … หนูก็รักพวกพี่
พระองค์คะ … หนูไม่กล้าพูดว่าหนูรักพระองค์อย่างที่พระองค์รักหนู
ไม่งั้นหนูคงไม่เป็นแบบนี้
 
12 ชั่วโมงต่อวันที่อยู่หน้าคอมฯ
หนูขอให้สิ่งที่ไร้สาระ และระบอบของโลกนี้ จงห่างไกลจากหนูที
หนูขอให้ 12 ชั่วโมงเป็นเวลาแห่งความเชื่อได้มัย แม้ไม่มีใครเข้าใจ
หนูขอให้ 12 ชั่วโมงเป็นการใช้เวลาแห่งความรักที่มีต่อพระองค์และเพื่อนมนุษย์
ขอพระองค์ช่วยหนูที หนูไม่สามารถเดินออกจากตรงนี้ไปได้เอง … หนูไม่มีปัญญา
 
      
 
Consuming fire fan into flame
A passion for Your Name
Spirit of God, Would You fall in this place?
Lord have Your way,
Lord have Your way with us
 
Stir it up in our hearts Lord,
A passion for Your Name.
Leave a comment »

The 7 Blessings of the Tithe Can Change Your Life

Recently while watching Pat Robertson on the 700 Club, the Lord put something on my heart that I want to share with you.

Pat talked about the importance of the tithe, as mentioned in Malachi 3. While I was listening to him, I felt strongly that I needed to teach on the seven blessings of the tithe, too, for like Pat Robertson, I believe the tithe is very important to the Lord Jesus.

First of all, Malachi 3:10 teaches: “Bring ye all the tithes into the storehouse, that there may be meat in mine house, and prove me now herewith, saith the Lord of hosts, if I will not open you the windows of heaven, and pour you out a blessing, that there shall not be room enough to receive it.”

Then the Lord promises, “And I will rebuke the devourer for your sakes, and he shall not destroy the fruits of your ground; neither shall your vine cast her fruit before the time in the field, saith the Lord of hosts” (verse 11).

SEVEN PROMISES
In the next verse, the Lord gives us this most remarkable promise: “And all nations shall call you blessed: for ye shall be a delightsome land, saith the Lord of hosts” (verse 12). In this noteworthy portion of Scripture, we find the Lord’s command to bring “all the tithes into the storehouse, that there may be meat in mine house.” The Lord clearly tells every believer that the tithe belongs to Him and His work.

The Lord even challenges us to test Him: “Prove me now herewith” (verse 10). This is the only time in Scripture that the Lord makes that offer. That is one of the most amazing invitations we have ever been given by the Lord Himself; that we, as God’s people, can prove Him in this matter.

Following His challenge in Malachi 3:10, He then begins to give us the seven most amazing blessings of the tithe:

  1. “If I will not open you the windows of heaven” (verse 10). The windows of heaven always deal with revival. The Lord promises to revive every person who obeys Him.
  1. “And pour you out a blessing, that there shall not be room enough to receive it” (verse 10). Think about it! God Almighty declares clearly in His Word that the tither will be prosperous—so prosperous, in fact, that there will not be room enough to receive the prosperity and blessings God has in store for the one who obeys Him.
  1. “I will rebuke the devourer for your sakes” (verse 11). Years ago when I taught on this subject in Orlando, I discovered that rebuke, to my amazement, means “to cripple” or “to paralyze.” God Almighty will actually cripple the enemy on your behalf when you tithe. The tithe is so important to the Lord that He promises to paralyze and cripple the enemy so that he will not be able to touch your life! Remember, the Lord said to prove Him. These things will happen, for this is the Word of the Lord!
  1. “He shall not destroy the fruits of your ground” (verse 11). This means that the enemy, whom God has crippled on your behalf, will not be able to touch your finances. The “fruits of your ground” refers to your money. The enemy will not be able to touch your money as a result of your obedience to the Lord in the tithe.
  1. “Neither shall your vine cast her fruit before the time in the field, saith the Lord of hosts” (verse 11). It is remarkable that in John 15:5, Jesus said, “I am the vine, ye are the branches.” The vine, therefore, means the family, and God gives this amazing promise to the tither when He says that the enemy will not touch your family, if you obey the Lord.
  1. “All nations shall call you blessed” (verse 12). In this most amazing blessing and promise, God will bless and prosper you so that the nations of the world will see the blessings of God upon you. In other words, you will be a mighty witness of the power and blessings of God.
  1. “Ye shall be a delightsome land, saith the Lord of hosts” (verse 12). Delightsome means “highly desired.” As you obey the Lord with the tithe, God will so highly desire you that He will use you.

These seven most amazing blessings of the tithe can be summarized:

    1. You will have revival.
    2. You will experience great prosperity.
    3. The enemy will be crippled and will not touch your life.
    4. Your finances will be safe.
    5. Your family will be safe from the hand of the enemy.
    6. You will be a great witness of the power and blessings of the Lord to the nations.
    7. You will be highly desired, and God will use you for His glory!

THE STOREHOUSE
Before giving these seven blessings in Malachi 3, the Lord very clearly mentions the tithes and offerings in verse 8: “Will a man rob God? Yet ye have robbed me. But ye say, Wherein have we robbed thee? In tithes and offerings” (Malachi 3:8). Then He says, “Bring ye all the tithes into the storehouse” (verse 10).

The “storehouse” is not your local church! Many years ago, I taught that the storehouse was the local church. As I have continued to study the Word, travel the world, and mature in the Lord, I have come to realize that the storehouse is not the local building but the ministry that feeds your life.

Any ministry that feeds you the Word of God is that storehouse! The Word of God is clear on this, for He says, “Bring ye all the tithe into the storehouse.” The tithe belongs to the ministry that gives you fresh bread and the meat of God’s Word.

As you support the storehouse that the Lord has placed into your life, the Lord has promised to send these seven supernatural blessings upon your life!

If this ministry has been that storehouse for you, then it is the law of God that you should give your tithes and offerings to this ministry. In fact, according to the Word of God, you should support whatever ministry God uses to feed your life.

I want to share an important truth with you. The Word of God is clear also in Deuteronomy 26 that the tithe does not belong to the dead. In the midst of teaching on the tithe, the Lord tells us, “Nor given ought thereof for the dead” (Deuteronomy 26:14). If you want to receive the seven supernatural blessings of the tithe, make sure you are not giving your tithe or offering to a dead work.

If you give to a dead ministry, there will be no result! But when you give to a ministry that is alive and preaching the Gospel to the world, then these promises will be yours.

BREAKING DEBT FROM YOUR LIFE
When I saw this powerful truth and began applying it in my own life—as I became a tither myself—God truly broke the debt from my life.

Debt is broken by only one thing—giving to the Lord’s work!

I want to see the Lord bless your life. It is your tithe that opens heaven, and it is your offering that brings prosperity your way. The Lord requires both, the tithe (at least 10 percent) and the offering (extra money that the Lord directs you to give). We cannot be blessed without the tithe, and we cannot see abundance without both the tithe and the offering.

The Lord clearly states in His Word to give both tithes and offerings.

Today, give both to the Lord. Sow your seed. And as you give your tithe and sow your seed-offering this month, lay your hands on that seed and claim the seven supernatural promises of Malachi 3.

Winning the lost for the glory of Jesus Christ, God’s beloved Son,

http://www.bennyhinn.org/emailletters/enl154_SevenBlessings.cfm

1 Comment »

เหนื่อย ภาค 2 – ไม่หายเหนื่อยซักที

ไม่รู้ทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้ วันหยุดที่ผ่านมา
อาจเป็นเพราะเดินชอปมากไป หลายวันนี้ ทั้งหน้ารามฯ ตะวันนา เดอะมอลล์ ฯลฯ
หรือเป็นเพราะลงไปว่ายน้ำตอนเที่ยงๆ แดดเปรี้ยงๆ เพราะน้องๆ request
หรือเป็นเพราะคิดมากเรื่องอนาคต ???
เอาเป็นว่าเหนื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ละก็ไม่อยากเขียนเสปซละ เพราะไปเมมไว้ใน hi5 ละ

Leave a comment »

เหนื่อยจนพูดไม่ออก

วันนี้ตื่นมา ตี 5 ครึ่ง เพราะพระเจ้าปลุกให้ทำบางสิ่งบางอย่าง
แล้วก็ออกไปปั่นจักรยานรอบหมู่บ้านอยู่ 1 ชั่วโมง อากาศหนาวเย็นมากๆ
ออกจากบ้านประมาณ 8 โมงครึ่ง ไปถึงหน้าหมู่บ้านน้องจิมตอน 9 โมง
เริ่มโทรหาป้าชะ คิดว่าคงยังไม่ตื่น เดี๋ยวค่อยโทรใหม่ ทั้งที่นัดกันไว้แล้ว
รอน้องจิม ด้วยการไปเดินสำรวจร้านอาหาร + กินจริงๆ 1 ชั่วโมงกว่าๆ
กินเสร็จน้องก็ยังไม่ออกมา เลยไปไดรว์ผม ทั้งร้าน มีแต่เกย์ กะกระเทย
มีผู้หญิงแท้ๆ อยู่คนเดียวในร้าน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันหมดก็คือ
สีหน้าบ่งบอกไม่ต้อนรับลูกค้าเลยซากกคน แล้วจะเปิดร้านทำไมฟะ

จำไม่ได้ว่าเคยเทคแคร์เด็กไม่บรรลุนิติภาวะแบบนี้มาก่อนรึเปล่าตั้งแต่โตมา
เพราะลูกพี่ลูกน้องเราที่เป็นคุณหมอ และสนิทกันมาแต่เด็ก ก็ 21-22 แล้วล่ะ
ก็พาน้องไปถึง JJ ประมาณ 11 โมงกว่าๆ แล้วก็เดินดูโน่น ดูนี่
ก็พลางกดหาชะนิดาไปเรื่อยๆ เพราะนัดกันดิบดีตั้งแต่อาทิตย์ก่อน
และเลื่อนมาเป็นเสาร์นี้ เพื่อจะเก็บข้อมูลสินค้าที่จะไปแปะหน้า eBay
she โทรกลับมาหลังจาก 10 miss call เมื่อตอนเที่ยงๆ บ่ายๆ เห็นจะได้
บอกว่าไปนอนบ้านเพื่อน เดี๋ยวคงจะมา เราก็ยืนยันว่าจะรอ แม้จะช้าหรือเย็นแค่ไหน
แต่แดด JJ นี่มหาโหดกว่าหิมะตกอีกนะ แต่ยังดีที่แรงน้อยกว่าโรงเกลือเมื่ออาทิตย์ก่อน

รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีแวว สงสารน้องจิมมากๆ ที่ต้องมาทนอยู่กับพี่สาวผู้แสนบอบบาง
โทรไปหาป้าชะก็ไม่รับสาย ว่าจะมากี่โมง แค่อยากบอกว่าเราไม่รอ จะกลับแล้ว กลัวมาทีหลังเก้ออ่ะ
พี่สาวเหนื่อยมากๆ เดิน JJ เหมือนเดินข้ามภูเขาซัก 3 ลูก อดถ่ายภาพเลยซักภาพ
เลยชวนน้องกลับบ้านกันดีกว่า แต่ว่าเราก็ไปแวะหม่ำนม หนมปังเนยที่ มอล์บางกะปิ
คุยโน่นคุยนี่ อิอิ และแล้วก็วกมาเรื่องสำคัญจนได้ น้องเค้าอยากเป็นคริสเตียน แต่กลัวที่บ้านมาก
เลยเล่าโน่นเล่านี่ เป็นพยาน ฯลฯ น้องอยากเป็นคริสเตียนเหมือนเดิม แต่ให้เหตุผลเดิมๆ
ว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้ เพราะถ้าเลิกไหว้พระ คุณพ่อ คุณแม่ ที่บ้านไม่ยอมแน่ๆ
หลังจากหายเหนื่อยและเติมพลังเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเดินดูของกุ๊กกิ๊กในห้างกันต่อ

พอเสร็จธุระก็ไปส่งน้อง แต่รู้สึกว่าวันนี้เทคแคร์เด็กน้อยไม่ค่อยดี เพราะพี่สาวหมดแรงอ่ะ
เดิน JJ ได้ข้อสรุปละ ว่า … … .. … …

ไม่ขายมันแล้ว อีบง อีเบย์ มาเดิน JJ แล้ววันหน้าเอากีต้าร์มาเปิดกระป๋องหากินแถวนี้ดีก่า

ฮือๆ โดนแดดมากมาย หน้ากระขึ้น หมอยันฮีบอกว่ามันรักษาไม่ได้มาแล้วอ่ะ
ไปละดีก่า พรุ่งนี้ต้องเล่นเปียโนที่โบสถ์แต่เช้า ขอบตาดำคล้ำ เดี๋ยวยันฮี ยันเฮอ ไม่รับอีก

วันนี้ Blog ไร้สาระนิดหน่อย ก็ขออภัยด้วยพี่น้อง … แต่ขอพระเจ้าอวยพรเหมือนเดิมค่า

P.S. // เหนื่อย เมื่อยขา เข็ด JJ น้อยใจเพื่อน เก๊กซิมผิวหน้า

1 Comment »

ทำตัวทำใจลำบาก

ตอนเย็นๆ มีอาจารย์ชวนไปหม่ำข้าวเนื่องในงานค่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่พอดีว่าตอนที่เพื่อนมาตามเป็นเวลาอาหารเย็น แล้ว เลยไม่ไป
ตอนเย็นๆ กว่าอีก มีเพื่อนสมัยมัธยมโทรมาชวนนัดเจอกันเวลา 2 ทุ่ม เนื่องจากเพื่อนเปิดร้านเหล้า
จริงๆ ก็อยากเจออ่ะนะ แต่เวลาเราหลอกนัดมาเจอที่โบสถ์ทีไร ทำเป็นมาไม่ได้เสมอ กลัวโบสถ์อ่ะดิ เฮอะๆ

เราก็เลยไม่ไป เพราะเป็นเด็กดี ม่ายยช่ายย … จริงๆ ร้านเหล้า เข้าได้ ถ้าจะเข้าไปประกาศ
แต่ไม่เคยมีการทรงเรียกจากเบื้องบนให้เข้าไปประกาศสถานที่พิเศษเช่นผับ บาร์ คาราฯ สถานบริการ
คำนวณแล้ว นี่มันวันเปิดตัวร้านเหล้า คงไม่ใช่เวลาดีที่จะไปเรียกคนบาปกลับใจในสถานที่เที่ยวกลางคืนวันแรก
จึงปฎิเสธไปอย่างขันแข็ง ด้วยเหตุว่าบ้านไกล และมีภารกิจมากมายต้องสะสาง

มีคำเทศนาว่า … บางครั้ง เราก็ต้องยอมเสียเพื่อน มิฉะนั้นเราจะเสียความสัมพันธ์กับพระองค์
พระเจ้าเรียกเราให้ ออกจากโลกแล้ว … ชีวิตเราต้องไม่เหมือนเดิม

~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~

ตั้งแต่ได้สัมผัสความรักของพระเจ้าจริงๆ เมื่อ 3-4 ปีก่อน ชีวิตก็เปลี่ยนไปมากมาย
ความทะเยอทะยาน อยากประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง เงินทอง ละลายไปในเวลา 1 ปี
รวมทั้งการแสวงหาความรู้ สติปัญญาอันมากมายทางสมอง ทางธุรกิจ ฯลฯ พังทลายลงมาป่นปี้
เพราะพระองค์มักจะตรัสเรื่องนี้ในช่วงเวลานั้นเสมอ จนความใฝ่ฝันกลายเป็นเพียงหยากเยื่อ ราคี

แต่กระนั้นก็ดี มีเพื่อนเก่าๆ มากมายที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน และเรายังยินดีที่จะคบค้าสมาคม
เพราะถ้าไม่เอาเพื่อนๆ เหล่านี้เลย คงต้องออกไปจากโลกแล้วล่ะ ก็โลกนี้มีแต่ชาวโลกมะใช่หรอ
ที่คบๆ ไว้ อิอิ หวังจะให้พวกเค้าได้รับความรอด ทั้งที่ยังไม่ค่อยจะสำมะเหร็จอย่างเห็นชัดซักคน
เท่าที่เห็น มีหลายคนแอบอธิษฐาน แอบเชื่อ แต่ก็ยังไม่เห็นมีใครมาจริงๆ จังกะพระเจ้าเลย

…..แต่วันนั้นฟังเทศนา…..
อาจารย์ที่เทศน์กลับเล่าว่า อ.เกิดในครอบครัวคริสเตียน แต่ทำตัวแหลกเหลวไม่เอาพระ เจ้า
คบแต่เพื่อนเลวๆ วันๆ ก็เอาแต่เที่ยวกลางคืน กินเหล้า เข้าสถานบริการ เสเพล สนุกสนานกับเพื่อนฝูง
จนบังเอิญเดินผ่านงานประชุมใหญ่ประเทศสิงคโปร์ ได้ยินคำเทศนาว่า " ความบาป เป็น การเลือก"
และสวรรค์-นรกเป็นเรื่องจริง แต่หากเมื่อเราก้าว 1 ก้าวออกไปหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า
พระเยซูจะก้าวเข้ามาเรา 10 ก้าว เพื่อช่วยเราจริงๆ เมื่อฟังคำเทศนาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์เร้าใจ
จึงตัดสินใจ สารภาพความผิดทั้งหมด กลับใจ และต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต
แต่กังวลว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต เพราะไม่สามารถเลิกเหล้า เลิกเที่ยวผู้หญิงได้
นักเทศน์จึงหนุนใจ อ. ให้ยอมจำนนทุกอย่างกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะนำเอง

เมื่อ อ. กลับไปยังประเทศตัวเอง เพื่อนเก่าๆ ก็มาชักชวนให้ไปเจอกัน
แต่ อ. ได้ปฎิเสธ และบอกเพื่อนว่า ตอนนี้เค้ามอบชีวิตให้พระเยซูแล้ว
ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเก่าได้อีก

เคยคิดอยู่ว่า จริงๆ เราจะไม่เลิกคบค้าสมาคมกับเพื่อนเก่าๆ เราหรอก
เพราะเราจะนำเขามาเป็นคริสเตียน ซึ่งเหมือนความคิดใครหลายๆ คน
แต่อาจารย์กลับสอนว่า ถ้าเราเปลี่ยน เขาไม่เปลี่ยน เราต้องออกจากเขา ไม่เหมือนเก่า
ศบ.ก็เคยสอนว่า เราต้องออกไปเปลี่ยนโลก ไม่ใช่ให้โลกเปลี่ยนเราเหมือนเขา
ถ้าเพื่อนชาวโลกยังมีอิทธิพลต่อรูปแบบชีวิตของเราอยู่
ก็จงแยกตัวออกมาซะ เพราะมันเป็นการ take time ซึ่งถ้าได้เพื่อน
ความสัมพันธ์ระดับลึกกะพระองค์จะต้องเสียไป หรืออาจไม่เคยได้มาเลย แน่ๆ นอนๆ

… เรื่องจริงเลยอ่ะ …

5 Comments »

คำพยานชีวิต กับ ภาพการแบกกางเขน ★★★★★

ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวคริสเตียน ตอนที่เกิดมา คุณแม่ยังไม่แน่ชัดในเรื่องความรอดเท่าไหร่ แต่ก็อธิษฐาน "ถ้าพระเจ้าให้ลูกชาย จะมอบถวายเขาแด่พระองค์" ข้าพเจ้าได้รับความรอดตอนอายุ 17 ปี ก่อนจะรับเชื่อ ในใจมีการสู้รบอย่างมาก คนส่วนใหญ่ที่ต้อนรับพระคริสต์ จะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นไทจากบาป แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การพ้นจากบาปและการทรงเรียกให้ปรนนิบัติรับใช้เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องและเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

ในคืนวันที่ 29 เมษายน 1920 ข้าพเจ้าไม่มีสันติสุขเลย มีคำถามว่าจะต้อนรับพระเยซูดีหรือไม่ เมื่อคิดจะปฎิเสธพระองค์ ในใจกลับไม่สงบ แต่เมื่อเริ่มคุกเข่าลงอธิษฐาน ความบาปเริ่มปรากฎออกมา ทั้งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนบาป เริ่มมองเห็นความล้ำค่าในแผนการไถ่บาปของพระเจ้า ได้เห็นองค์พระเจ้าถูกตรึงที่กางเขน เพื่อรับการลงโทษบาปแทนเรา พระองค์ตรัสว่า "เรารอคอยเจ้าอยู่" ความรักของพระเจ้าทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจต้อนรับพระเยซู ทั้งที่ข้าพเจ้าเคยหัวเราะเยาะคนที่เชื่อ ตั้งแต่วันนั้นไม่อาจหัวเราะได้อีก ได้แต่สารภาพความผิดบาป ขอการอภัย และก็ได้รับการปลดปล่อย รู้สึกโล่ง สบาย ชื่นชมยินดี และมีสันติสุขข้างใน

ในช่วงวัยรุ่น ข้าพเจ้าเรียนหนังสือได้ที่ 1 ตลอด และเต็มไปด้วยความฝัน วางโครงการในอนาคตไว้มากมาย แต่หลังจากรับเชื่อแล้ว โครงการที่เคยวาไว้ก็สิ้นสุดลงและกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ข้าพเจ้าละทิ้งอนาคตตนเองทั้งหมด สำหรับคนอื่นอาจจะง่าย แต่ยากสำหรับคนที่เต็มไปด้วย อุดมคติ ความฝันอย่างข้าพเจ้า เคยคิดว่าอาชีพของพวกคริสเตียนเป็นสิ่งที่ต่ำต้อยที่สุด เงินเดือนก็น้อย

รักดวงวิญญาณ ประกาศ เป็นพยานกับผู้อื่น
เนื้อหนังของข้าพเจ้ายังไม่ถูกจัดการ ยังรักที่จะมีชีวิตที่หรูหรา กินของดีๆ เสื้อผ้าดีๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ท้อแท้มาก ทั้งที่คิดว่าตัวเองดี ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปแล้วมากมาย แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงช่วยและการทรงเรียก จึงมีกำลังใจสู้ต่อไป … เมื่อข้าพเจ้ารับเชื่อแล้ว ก็รักดวงวิญญาณคนบาปโดยอัตโนมัติ จึงเริ่มประกาศข่าวประเสริฐ เกี่ยวกับความรักพระเยซู และเป็นพยานกับเพื่อนๆ แต่ตรากตรำเป็นปีๆ ก็ไม่มีใครได้รับความรอด เป็นชีวิตที่ขาดฤทธิ์เดช เพราะพยายามพูดให้ได้ดี

ข้าเจ้าคิดว่า เมื่อประกาศแล้วเขาไม่เชื่อ เขาต้องรับผลกรรมของตัวเอง แต่ Miss Groves กลับบอกว่า "สาเหตุที่เธอนำวิญญาณได้ เพราะเธอมีปัญหากับพระเจ้า อาจเป็นเพราะความบาปที่ซ่อนเร้นซึ่งยังไม่จัดการให้ชัดเจน หรือยังบกพร่องต่อผู้อื่นอยู่" ข้าพเจ้าก็ยินดีไปจัดการ และ Miss ก็แนะนำอีกว่า "เวลาเป็นพยาน ประกาศ ควรอธิษฐานกับพระเจ้าเสียก่อน แล้วค่อยไปพูด น่าจะลิสรายชื่อเพื่อนๆ แล้วถามพระองค์ว่าควรอธิษฐานเผื่อใคร ต้องอธิษฐานเผื่อทุกวัน เอ่ยชื่อทีละคนด้วย เมื่อพระเจ้าให้โอกาส จึงค่อยเป็นพยาน"

ข้าพเจ้าจึงไปจัดการ ชดใช้ จ่ายหนี้ คืนดีกับเพื่อน สารภาพบาปต่อผู้อื่น และเขียนรายชื่อในสมุดโน้ต 70 ชื่อ อธิษฐานเผื่อเป็นประจำทุกวัน เอ่ยชื่อกับพระเจ้าทีละชื่อ บางครั้งก็อธิษฐานเผื่อชั่วโมงละครั้ง เมื่อมีโอกาส ก็จะเป็นพยาน แต่กลับโดนล้อเลียน Miss Groves จึงให้กำลังใจว่า "อย่าท้อ จงอธิษฐานต่อไปจนกว่าจะมีคนได้รับความรอด" โดยพระคุณ ผ่านไปหลายเดือน ในรายชื่อที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเผื่อได้รับความรอดหมด เว้นแค่คนเดียว

เติมเต็มโดยรับบัพติศมาพระวิญญาณบริสุทธิ์
แม้เพื่อนๆ จะได้รับความรอดแล้ว แต่คนทั้งโรงเรียน ทั้งเมืองยังไม่ได้รับความรอดเลย ข้าพเจ้าจึงไปหา Miss Magarette ว่าถ้าต้องการรับพระวิญญาณ ได้รับการเติมเต็ม ต้องทำอย่างไร ท่านจึงบอกว่า "ต้องถวายตัวเองแด่พระเจ้า" และท่านเล่าเรื่องของ Prigin ชาวอเมริกันที่เคยไปประเทศจีนให้ฟังว่า

"Prigin จบปริญญาโท และกำลังจะต่อเอก แต่รู้สึกว่าในฝ่ายวิญญาณไม่โตเลย จึงทูลต่อพระเจ้าว่า ‘ข้าพเจ้ามีความสงสัยพระเจ้ามากมาย ไม่สามารถะเอาชนะบาปบางอย่างได้ ไม่มีกำลังทำงาน’ ท่านได้อธิษฐานกับพระเจ้า 2 อาทิตย์ หวังให้พระเจ้าเติมเต็มด้วยพระวิญญาณ แต่พระเจ้าตรัสถามว่า ‘เจ้าต้องการสิ่งนี้จริงๆ หรือ? ถ้าอย่างนั้นสละสิทธิ์สอบปริญญาเอก’ Pirgin ลำบากใจมาก ต่อรองกับพระเจ้าว่าเพราะอะไร แต่เมื่อพระเจ้าเรียกร้องแล้ว พระเจ้ายึดมั่นโดยไม่ยอมปรึกษามนุษย์เลย

ระหว่าง 2 เดือนนั้นเป็นเวลาที่เจ็บปวดมาก เพราะเรียนปริญญาเอกไปแล้ว 2 ปี และฝันถึงใบปริญญานี้มา 30 ปี ตั้งแต่เป็นเด็กมา ในวันเสาร์สุดท้าย เกิดความขัดแย้งภายในมาก ว่าอยากได้ปริญญาหรือการเจิมแห่งฤทธิ์เดช ท่านปรารถนาทั้ง 2 อย่าง แต่พระเจ้าไม่ยอม ในที่สุดก็ยอมจำนนต่อพระเจ้า ไม่เข้าสอบ และทิ้งปริญญาเอกนี้ไปตลอดชีวิต ช่วงเวลานี้ ท่านไม่สามารถเตรียมประกาศใดๆ ได้ จึงใช้เรื่องนี้เล่าให้ที่ประชุม ปรากฎว่า 3/4 ของที่ประชุมน้ำตาไหลและรับการฟื้นฟู ท่านจึงกล่าวว่า ‘ถ้ารู้ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ คงยอมจำนนกับพระเจ้าไปนานแล้ว’ หลังจากนั้นงานของท่านเกิดผลอย่างมาก และรู้จักพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง"

เมื่ออุปสรรคที่ขวางกั้นได้รับการจัดการ
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเรื่องของท่าน Prigim จึงไปหาผู้คนประมาณ 2-3 ร้อยคนในเวลา 2 ปี เพื่อสารภาพบาป แต่หลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้รับฤทธิ์เดชในการนำพาผู้คนจำนวนมาก และไม่สามารถกล่าวถ้อยคำใน สดุดี 73:25 ได้ว่า "นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์มิมีผู้ใดในฟ้าสวรรค์ นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาใดใดในโลก"

เนื่องจากข้าพเจ้าหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้รับความรอดหรือเชื่อในพระเยซู ข้าพเจ้าพยายามชักชวนเธอหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล แม้ข้าพเจ้ารักเธอแต่ก็ทรมานใจเมื่อเธอไม่เชื่อพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ จึงได้ถามตัวเองว่าใครกันแน่ที่เป็นที่ 1 ในใจ แต่วัยรุ่นเมื่อรักใครแล้วไม่ได้ตัดใจง่ายๆ ข้าพเจ้าบอกพระเจ้าว่ายอม แต่ลึกๆ ในใจก็ยังไม่ยอม จนพระวิญญาณระบุชัดเจนว่า "นี่คือสิ่งที่คอยขัดขวางเจ้าอยู่" ข้าพเจ้าขอให้ผ่อนผันแต่พระเจ้าไม่มีเหตุผลใดๆ ให้เลย แม้จะต่อรองจะไปประกาศในถิ่นทุรกันดารก็แล้ว แต่ข้าพเจ้ายังคงอธิษฐานเสมอเพื่อให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย

จนกระทั่งพระเจ้าให้บทเรียนในการปฎิเสธตัวเอง วางลงซึ่งความรักชอบตามธรรมชาติ และรักพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ ไม่เช่นนั้นคงเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ เมื่อข้าพเจ้ายอมหมดสิ้น จึงทูลพระองค์ว่า ขอการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณและความรักของพระคริสต์ ประกาศว่า "จะขอตัดใจจากเธอ เธอจะไม่มีวันได้หัวใจข้าพเจ้า" ข้าพเจ้าจึงสามารถพูดพระคำในสดุดี 73:25 ได้เต็มปากเต็มคำ ภาระต่างๆ ถูกผลักออกไป เหมือนล่องลอยไปอยู่ในสวรรค์ชั้น 3 และเป็นอิสระในพระองค์

อาทิตย์ต่อมา คนเริ่มได้รับความรอดมากขึ้น เริ่มไม่สนใจเรื่องเสื้อผ้าโก้ๆ อาหารดีๆ และเริ่มผลิตใบประกาศข่าวประเสริฐ ไปแปะตามกำแพงข้างถนน ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนในเวลานั้น เฉพาะในโรงเรียน มีเพื่อนได้รับความรอดหลายร้อยคน

บทเรียนยิ่งใหญ่จากพระเจ้า
ในปี 1923 ข้าพเจ้าทำงานร่วมกับคน 7 คน มีผู้นำ 2 คน คือผู้ร่วมงานที่อายุมากกว่า 5 ปี และข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามักกล่าวว่าเขาผิด และเขากล่าวว่าข้าพเจ้าผิด ข้าพเจ้าระเบิดอารมณ์อยู่บ่อยๆ ยกโทษให้ตัวเองได้ง่ายๆ แต่กับผู้อื่นยากนัก ข้าพเจ้ามักไปหา Miss Barber ว่าเขาไม่ค่อยฟังข้าพเจ้า แต่ Miss กลับบอกว่า "เขามีอายุมากกว่าเธอ เธอควรยอมฟังเขา" นี่เป็นหลักการพระคัมภีร์ "แต่เขาไม่มีเหตุผล เราเป็นคริสเตียน ควรทำตามเหตุผล" Miss บอกอีกว่า "ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องนั้น พระคัมภีร์ระบุว่าผู้น้อยต้องเชื่อฟังผู้อาวุโสกว่า" ข้าพเจ้าโกรธที่พระคัมภีร์ว่าเช่นนั้น คับแค้นใจ ร้องไห้กับพระเจ้าอยู่บ่อยๆ อยากเกิดเร็วกว่านี้ซัก 5 ปี ข้อเสนอไม่เคยได้รับการยอมรับ และต้องร้องไห้ ทนทุกข์อย่างขื่นขม

กี่ครั้งๆ Miss Barber ก็ยืนยันเช่นนี้เสมอ ทั้งที่หวังจะให้เขาแก้ต่างให้ "ผู้ร่วมงานถูกหรือผิดเป็นอีกเรื่อง แต่การที่เอาเรื่องคนอื่นมาพูดให้คนอื่นฟัง เธอเหมือนกับคนที่แบกกางเขนแล้วหรือ?" ข้าพเจ้าอับอายมากจนไม่มีวันลืม คำพูดและท่าทีทำให้รู้ว่าไม่เหมือนคนแบกกางเขน นี่เป็นบทเรียนล้ำค่าที่สุดในชีวิตซึ่งต้องเรียนรู้เป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ถ้าพระเจ้าไม่จัดเตรียมเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถร่วมงานกับใครในปัจจุบันได้เลย พระเจ้าประสงค์ให้ถูกหล่อหลอมฝ่ายวิญญาณ ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกจัดการยากขนาดไหน แต่พระคุณของพระเจ้าก็ทำให้ผ่านพ้นไปได้ในที่สุด

ถ้าข้าพเจ้าจะฝากอนุชน ก็ขอพูดว่า "ถ้ารับการทดสอบแห่งกางเขนไม่ได้แล้ว ท่านก็เป็นภาชนะที่ใช้การไม่ได้ พระเจ้าพอพระทัยวิญญาณที่ต่ำต้อย อ่อนสุภาพ ชื่นชมยินดีเท่านั้น ความทะเยอทะยาน ฉลาดในสายตาตนเองเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ในสายพระเนตรพระเจ้า เรื่องสำคัญไม่ใช่ถูกหรือผิด แต่สำคัญว่า เราเป็นผู้แบกกางเขนหรือเปล่า ในคริสตจักร การถูกผิด ไม่มีฐานะ สิ่งที่นับค่าได้คือการถูกทำให้แตกหักด้วยไม้กางเขนนั้น สิ่งนี้จะทำให้ชีวิตพระเจ้าหลั่งไหลออกมา และทำให้น้ำพระทัยพระองค์สำเร็จในที่สุด"

———- จากหนังสือ Testimony of Watchman Nee ———-

งานเขียนของหนีโตเช็ง เป็นงานเขียนที่กระทบดวงวิญญาณมาแล้วทั่วโลก ท่านเป็นบุคคลแรกๆ ที่ให้ความละเอียด ลึกซึ้ง เกี่ยวกับความชัดเจนของพระคุณ/กฎบัญญัติ, ความรอด/ชีวิตนิรันดร์, พระคุณ/บำเหน็จ, พระกิตติคุณ, พระโลหิต/ไม้กางเขน … ในปัจจุบันนี้ ผู้นำในคริสตจักรต่างๆ ยังคงค้นพบหลักความจริง จากการอธิบายพระคัมภีร์, งานสอนผ่านงานเขียนของท่านมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป อเมริกา จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน อินเดีย ฯลฯ

ถ้าถามว่ารู้จักงานเขียนของท่านได้อย่างไร ต้องตอบว่า "เพราะพระเจ้า" ซัก 2-3 ปีก่อน ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าแล้ว แต่ยังรู้สึกถึงความบาป และนิสัยแห่งบาปที่ฝังอยู่เสมอ รู้สึกบกพร่องและชักหวั่นไหวในการยอมรับจากพระเจ้า อยู่ดีๆ พระเจ้าก็ส่งหนังสือ "Normal Christian Life" มาให้อย่างอัศจรรย์ เปิดมาสายตาก็โฟกัสที่ "โรม บทที่ 7" ซึ่งช่วงนั้นอ่านหนังสือคริสเตียนเยอะมาก ไม่เคยมีใครให้หัวข้อเช่นนี้ เพราะในโรม 7 พูดถึงกฎแห่งบาปที่อยู่ในชีวิตมนุษย์ แม้จะได้รับการอภัยจากพระโลหิตแล้วก็ตาม

ในหนังสืออธิบายเรื่อง มโนธรรม กฎบัญญัติ เนื้อหนัง(ธรรมชาติบาป) พระโลหิต ไม้กางเขน ได้อย่างลึกซึ้ง ชัดเจนมากๆ เหมือนกับว่า ไม้กางเขนของพระเยซูได้ลอยมาอยู่ตรงหน้า ซึ่งหาไม่ได้จากคำเทศนา ตลอด 10 กว่าปีในคริสตจักร (ไม่ได้โทษนักเทศน์นะ แต่เชื่อเรื่องเวลาแห่งการสำแดงของพระองค์มากกว่า) นอกจากนี้ งานเขียนเล่มอื่นๆ ของหนีโตเช็ง มีความลึกซึ้งและพระเจ้าแตะใจผ่านงานชิ้นต่างๆ อีกหลายเล่ม

ผู้ที่ได้รับการไถ่ดำเนินในเสรีภาพ ไม่มีสิ่งใดที่มาชี้ว่าเราบาป เพราะเราไม่ได้ใช้มโนธรรมสูงส่งอีกต่อไป หากแต่เราดำเนินด้วยความเชื่อ ได้รับความรอดด้วยความเมตตาจากพระเจ้าล้วนๆ ไม่ใช่เพราะการกระทำ สรรเสริญพระเจ้า สำหรับพระคริสต์ที่สละพระชนม์เพื่อแผนการอันสมบูรณ์ เพื่อความรักอันยิ่งใหญ่อบอวลไปทั่วโลกทั้งใบ

ฮาเลลูยา สรรเสริญ สรรเสริญ … โปรดนำเราไปถึงกางเขนด้วยพระองค์ ในนามพระเยซู อาเมนนนน

3 Comments »

ค่ายอนุชน + ข่าวลือไม่ช่วยอะไร

เพิ่งกลับจากค่ายอนุชน "ต้นน้ำ" ที่ไปเพราะเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันไปได้ ทั้งเนทและซาฟัส ทั้งที่ไปแค่คืนสุดท้ายที่มีแคมป์ไฟ (Oct 11th, 2007) กลับเห็นการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทำงานกับเด็กๆ อย่างมากมาย เห็นเด็ก 10 ขวบรับพระวิญญาณ พูดภาษาแปลกๆ เผยพระวจนะ บวกกับอะไรหลายอย่าง เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนจริงๆ ว่านี่เป็นยุคสุดท้าย ที่สั้นลงทุกทีๆ

 
น้องๆ จากพันธกิจได้รับการปลดปล่อย + กิจกรรมภาคสนามระหว่างวัน

ขอบคุณพระเจ้านะ ไม่คิดมาก่อนว่าคริสตจักรเราจะจัดค่ายอนุชนได้ใหญ่ และมีคริสตจักรต่างๆ มาร่วมด้วย 5 คริสตจักร … 1 ในนี้มีคริสตจักร อโดนาย จากพัทยา โดย ศบ.ที่พาเด็กๆ มาขับรถหลงทางเข้าป่าไปเจอช้างป่า จนเด็กๆ สงสัยว่าทำไมจัดค่ายไกลจังเลย (สระแก้ว)

พี่เค้าเป็นพระพรกับน้องๆ มาก เพราะเค้าเปิดเผยตัวว่าเคยเป็นเอดส์ (งงป่าว? ว่าทำไมเคยเป็นล่ะ ในเมื่อมันไม่หายไม่ใช่หรอ) พี่เค้าเล่าว่าเกิดในครอบครัวคริสเตียน แต่ว่าใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ไม่ได้สนใจหรือจริงจังกะพระเจ้า จนกระทั่งมีครอบครัว และติดเอดส์ (ไม่ได้เที่ยวเหลวไหล แต่ติดจากสามี) ญาติสนิทมิตรสหายที่เคยมี รังเกียจเดียดฉัน ไม่มีใครสนใจ คุณหมอต่างก็ฟันธงว่ารอความตายอย่างเดียว เพราะติดเชื้อ HIV ระยะสุดท้ายแล้ว

ช่วงระหว่างที่รอความตายนี้เอง เชื้อเอดส์ทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง พี่เค้าเริ่มแสวงหาพระเจ้า และยอมจำนนชีวิตกับพระองค์ บอกว่าถ้าพระเจ้าช่วยให้มีชีวิตต่อไปอีก จะมอบกายถวายชีวิต รับใช้พระองค์ เพราะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว และพี่เค้าอธิษฐานขอให้ตามองเห็นได้ข้างนึง ส่วนอีกข้างนึงขอให้บอดอยู่เพื่อย้ำเตือนความทรงจำ  และพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐาน รักษาตาข้างหนึ่งของพี่เค้าจนมองเห็นได้ และเมื่อรับใช้พระเจ้าไป พอไปตรวจเลือดอีกที ไม่พบเลือด+ อีกแล้ว เท่ากับเหมือนคนปกติทั่วไป ที่ไม่มีเชื้อ … ฮาเลลูย่า

พี่เค้าให้ข้อคิดกับอนุชนในคืนสุดท้ายว่า "ให้เราลุกขึ้นรับใช้พระเจ้าตั้งแต่เป็นอนุชน อย่ามัวรอคอยจนต้องเป็นเอดส์ซะก่อน"
อาจารย์เราแอบยิ้ม คงคิดในใจคอนเซปต์เดียวกันว่า "ไม่ใช่คุณแล้วใคร ไม่ใช่เดี๋ยวนี้แล้วเมื่อไหร่"

 
กีตาร์ตัวใหญ่กว่าน้องๆ อีก + กิจกรรมบันเทิงของเด็กๆ


ส่วนเรื่องข่าวลือ … มันเหมือนไฟลามทุ่ง คนรู้มูลความจริงไม่กี่คน
แต่คนไม่รู้ชอบลือกันไปต่างๆ นาๆ นำพาให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่คนในองค์กร
ข่าวลือน่ากลัวยิ่งกว่าความจริง เพราะมันก็แค่ข่าวลือ
พิสูจน์ไม่ได้ จะลือให้รุนแรง สาดเสีย เทเสียใครอย่างไรก็ได้

ไปที่ ????? แค่วันเดียว ได้ยินมูลเหตุจากข่าวลือเป็นสิบเรื่อง
ทางที่ดีที่สุด เริ่มจากตัวเราก่อน แม้จะได้ยิน คันปาก ก็เงียบๆ ไว้
สยบข่าวลือให้มากที่สุด อันเนื่องจากผิดพลาด บกพร่องมามากแล้ว

ยังไม่ค่อยเห็นใครแยกแยะวิญญาณชนิดนี้ได้ถูกนักว่ามันชื่ออะไร?
แต่สิ่งที่นำพาไปสู่การแตกแยก มาจากลิ้นคนทั้งนั้น และการใช้ลิ้นนั้นก็ออกมาจากจิตใจ
โปรดอธิษฐานปกป้องตัวเองและพี่น้องที่จะไม่ตกเป็นเครื่องมือมารมาทำลายกันเอง

Leave a comment »

Heartbeat & Burden

ใครจะยอมเป็นคนนั้น … คนที่ไม่เหมือนใคร
ใครจะยอมเป็นคนนั้น … คนที่เลือกเดินทางสายที่คนอื่นไม่ไป
คนที่จะออกจากโลกของตัวเอง ทิ้งความฝันของตัวเอง
เพื่อให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จบนโลกใบนี้

วันนี้ฟังเทศนา คนเดียวกับที่กล่าวข้อความข้างบน กล่าวว่า
"อย่าเสียเวลาในโลกนี้กับสิ่งที่มันไม่แตะต้องใจเรา"
ทุกคนมีความฝัน มี Burden ในสิ่งที่ตามองไม่เห็น
สิ่งที่เป็นแรงขับ เป็นนิมิตที่พระเจ้าใส่ไว้ให้หัวใจร้อนรุ่ม
สิ่งนั้นที่เผาผลาญ เรียกร้อง อยู่ภายใน
จงไปตามแรงขับเคลื่อนนั้น แล้วคุณจะทำในสิ่งยิ่งใหญ่
พระเจ้าเรียกคุณ ให้ยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิด อย่าเป็นเหมือนคนอื่น
เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยไม่เห็นความยิ่งใหญ่อย่างที่พระองค์ทรงเป็น!

แต่งเพลงนี้ไว้ระยะนึงแล้ว ยังปะติดปะต่อไม่เสร็จดี แต่อยากบันทึกไว้เป็นความทรงจำ
และเผื่อมีใครจะช่วยแต่งเนื้อเพิ่มเติม … ส่วนทำนอง ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว

MY SONG: WHO WILL BE THAT ONE?

GOD NEITHER SEEK THE WISE MAN TO SERVE
NOR PERFECT LIFE OF GOODNESS IN ALL ABOVE.
HE IS LOOKING FOR WHOM ONE LOVES HIM WITH ALL HEART
AND LAY THEIR LIFE IN HIS HAND ALL PART
THEN HE ASKED "WHO WILL BE THAT ONE?"

WORLD TRIES TO SEPARATE MEN FROM TRUTH.
NO HEARTBEAT’d LIKE TO SURRENDER IN YOUTH.
ALL PEOPLE KEEP GOING DO THE SAME DAY BY DAY.
BUT SOMEONE RAISE EARS FOR GOD’ CALLING
THEN HE ASKED "WHO WILL BE THAT ONE?"

I AM, LORD!
I WANNA BE THAT ONE
TO TELL THE STORY OF YOUR LOVE
I AM HERE!
I LONG TO SEE KINGDOM
PLZ LET ME BE THE WORLD TURNER, GOD
MAKE GOOD NEWS TO EVERYONE
MAKE YOUR WILL BE DONE, BEFORE YOU COME
AND WE WILL SEE THE FULL OF YOUR GLORY WITH PRAISE!

Leave a comment »