Apr 9th – เป็นครั้งแรกที่มาทำงานที่จีนแล้วนัด Supplier สายขนาดนี้ เนื่องจากแพลน เพื่อน้องเก้ที่ติดมาด้วย ซึ่งน้องไม่อยากตื่นเช้า อุตส่าห์มาเที่ยวทั้งที (แต่เตือนแล้วว่าพี่มาทำงาน) เจอคนขับรถราวๆ 8.30 น. เดินทางแค่ 15 นาทีก็ถึง จึงเริ่มตลุยโชว์รูม เพื่อจะดูสินค้ารุ่นที่หมายตาเอาไว้ ปรากฎว่าของจริงกับรูปในแคตาล็อค ไม่ค่อยจะเหมือนกัน จึงใช้เวลาในการคุย และเปลี่ยนรุ่นนานพอสมควร แล้วให้เขาลองเทส Oven ให้ เราดู ปรากฎว่านอกจากดูกิ๊กก๊อกแล้ว ยังเหม็นไปทั้งโชว์รูม จน MD ที่ไปด้วยไม่อยากจะสั่งของ แต่ติดว่าเขาต้อนรับเราดี แพ้น้ำใจ
ตั้งแต่ดูโรงงานจีนสินค้าประเภทเดียวกันมาไม่น้อย โรงงานแรกที่มาดูครั้งนี้ กลับดูก๊องแก๊ง สินค้าเหมือนของเล่นบอบบางไปซะงั้น แม้ราคาถูกกว่าเจ้าก่อนหน้าที่ขึ้นราคาเอาๆ แถมชอบส่งของลดสเปคมาเป็นประจำ คุณ Moon เลยลังเลๆ แต่เขาก็พาไปเลี้ยงเติบหลังเสร็จธุระอีกที เลยสั่งตู้ 40" ซักตู้ดูก่อนเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ที่ดูแลเราอย่างดี
ตอนบ่ายไปโผล่โรงงาน ทรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง จริงๆ จะแอบไปไม่ให้เจ้าแรกรู้ แต่ติดว่าไม่รู้จะจ้างรถยังไง เขาเลยพาไปให้ซะงั้น ดีว่า เจ้าของ 2 โรงงานนี้เป็นเพื่อนซี้แม้จะเป็นคู่แข่งกันก็ตาม ไปเลทจากเวลาที่บอกไว้เป็นชั่วโมง เนื่องจากกินกลางวันนานและขอตัวไม่ได้ เจอโซเฟียเป็นครั้งแรก เธอเดินทาง จากหนิงปอเพื่อต้อนรับพวกเราเลยแหละ โชว์รูมดูไม่สวยเท่าไหร่ แต่มีสินค้าที่น่าสนใจหลายตัว และก็เดินดูโรงงานจนทั่ว ก็ขอตัวกลับ ซึ่งถือว่าใช้เวลาที่นี่น้อยมากเลย
พี่คนขับรถที่เป็นผู้หญิงก็พาเราออกจากเฉิงโจว ไปส่งที่หังโจว ถึงหน้าโรงแรม ฮั่วเฉิน ซึ่งจองผ่าน booking.com โดยดูจากกูเกิ้ลเอิร์ทเอาว่ามันใกล้ทะเลสาบซีหู สถานที่ท่องเที่ยว (เลยได้โรงแรมที่แสนคันๆๆ) … แต่แทนที่จะสะดวกโยธา เชคอินปุ๊บได้ไปชอปปั๊บ ทางโรงแรมกลับบอกว่าบัตรเครดิตที่เราตัดไป มันไม่ได้จ่ายเงินให้ โรงแรมโดยตรง เราต้องจ่ายราคาเต็มอีกรอบ แถมคิดเป็นเงินหยวน + ค่ามัดจำอีก 15,000 เจ้าของบัตรเครดิตก็ไม่ยอมสิ ทำไมต้องเสียเงินซ้ำซ้อน จองเป็นดอลล่าร์ (ที่ค่า กำลังตก) แต่จ่ายเงินสดสกุลหยวน เลยวุ่นวายเชคกับซิตี้แบงค์ยกใหญ่ สุดท้ายก็ต้องจำยอมเสี่ยงจ่ายไปอีกรอบ ทำเอาเซ็งกันทั้งคนพัก และพนักงานโรงแรมอีกหลายคน เอากระเป๋าไปเก็บซักพัก ก็ต้องรีบออกมาสำรวจเมือง เพราะค่ำแล้ว เดี๋ยวร้านรวง และหนทางจะปิดเสีย
หังโจว (杭州) เป็นเมืองหลวงของเจ๋อเจียง (浙江省) ที่ Marco Polo เคยกล่าวไว้ในศตวรรษที่ 13th ว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลก และในศตวรรษที่ 19 ถูกทำลายลงจากเหตุการณ์กบฎไท่ผิง จนไม่เหลือร่องรอยความสวยงามนั้นเลย แต่ในปัจจุบัน หังโจว เป็นเมืองที่มี วัฒนธรรมยาวนาน และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ มีทัศนียภาพที่สวยงาม และยังมีทะเลสาบซีหูที่สวยงาม (West Lake) ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนหลั่งไหลจากทั่ว โลกมามากมาย
ทั้งที่นักท่องเที่ยวมาเมืองนี้เยอะมาก ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีสายการบินตรงจาก กรุงเทพ-หังโจว บ้างนะ … กว่าจะเดินเจอซีหู ก็ไกลเหมือนกัน ผ่านร้านรวงที่ล่อตาล่อ ใจตลอดทาง แวะกินมื้อเย็นจากร้านที่มีคนเอาโบรชัวร์มาแจก ทั้งร้านไม่มีภาษาอังกฤษ แม้แต่พนักงานทั้งหมด พูดกันแต่จีน ไม่รู้ยอมให้น้องลากเข้าไปได้ไง เพราะชี้ตามรูปภาพ สั่งกุ้งได้ขาหมู สั่งขาหมูได้รากบัวยัดไส้ ยังดีที่ผัดหอย กับผัดผักอีกอย่างใกล้เคียง ส่วนผัดลูกชิ้น กลายเป็นผัดเผือก และที่น้องชี้ๆ ไปอีกอัน เค้าก็เข้าใจผิดคิดว่าสั่งด้วย แต่อันนั้นแพงมากเลยไม่หยวนๆไว้ ทำให้พนักงานสาวที่คอยต้อนรับเราหน้าซีดสลด จนสุดท้ายเลยให้ทิปไปมากกว่าราคา อาหารนั้น แต่ผู้จัดการร้านจะไม่ยอมเอา วิ่งมาคืน แต่ก็ปฎิเสธอยู่นาน จึงได้ออกจากร้านอย่างสบายใจ
กว่าจะเจอซีหู ต้องถามไถ่ "ชีหู ไจ้หนาหลี่?" ก็มีคนชี้โบ๊ชี้เบ๊มากมาย ถามจีนได้ แต่ฟังจีนไม่รู้เรื่อง เห็นซีหูแบบมืดๆ แต่ผู้คนก็ยังมากมาย … กระนั้นก็เถอะ ว่าหังโจว หนาวแล้วนะ ตรงทะเลสาบนี่ลมตีจนตัวจะปลิวทีเดียว และไม่มีใครทนพิษบาดแผล เอ้ย ทนลมหนาวนี้ได้ไหว เลยต้องเดินกลับโรงแรมเป็นการด่วน ขณะที่เดิน ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ คิดถึงรถลูกชิ้นปิ้งที่เมืองไทย อยากจะเจอรถเข็นแบบนั้นที่เมืองจีน แต่หายากจัง อ้อ แต่ไม่มีอะไรที่พระเจ้าจัดให้ไม่ได้ ได้เจ๊อะรถที่ว่าจริงๆ แต่ของแปลกหมดทุกไม้ เลยเลือกออกมาแค่ 2 ไม้ คือปลาหมึก กะเนื้ออะไรไม่ยู้ แต่คนอื่นมารุมสั่งกันคนละเป็น 10 ไม้เลย รอนานมาก แต่หม่ำแล้วก็เดินต่อ ระหว่างทางมีร้านรวงมากมาย ทำให้เดินหลงอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ดีว่าเจอคนพูดอังกฤษได้ เค้าให้แฟนนั่งแท็กซี่มาส่งพวกเราที่โรงแรม น่ารักจริงๆ
Apr 10th – เป็นแผนนิดหน่อยที่วันนี้มีเวลาว่างสำหรับการท่องเมืองหังโจว เนื่องจาก เอาน้องมาด้วย เลยจัดโปรแกรมพักผ่อนเอาใจไว้ล่วงหน้า ถ้าบริษัทรู้ ก็คงโดนโวยใช่ย่อย ตลอดช่วงสาย ตามใจน้องละกัน อยากไปไหน ยังไง ชิวๆ ได้ทุกอย่าง … หลังจากหม่ำ breakfast สายๆ ก็ออกเดินไปซีหู โดยจุดมุ่งหมายคือสะพานที่น้องเห็นในรูป ซึ่งเดินไกลอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าวิวสวยมากๆ ต้นไม้ ความสะอาด ต้องยกนิ้วให้คนจีนเลยล่ะ เด็กๆ ก็แก้มแดงกันทั้งเมือง (หนุ่มๆ ด้วย อิอิ) วันนี้จึงเป็นวันที่กดชัตเตอร์กันเมามัน ดูๆ แล้วน่าอยู่กว่า กทม ด้วยซ้ำหล่า ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องภาษานะ
หลังจากถ่ายรูปไปพอควร ก็ต้องรีบเรียกแท็กซี่กลับที่พักแล้ว เพราะเดี๋ยวจะ check out ไม่ทัน ก็ลงตรงแถวๆ โรงแรม ยังพอเดินเล่นได้อีกซักพักแหละ แต่ที่เราอยากชอป มันเหลือเวลาน้อยเกินไป เลยแค่แวะซื้อผลไม้แปลกๆ แล้วก็รีบเข้าโรงแรม หลังจากเชคเอาท์ ก็เรียกแท็กซี่โรงแรม ซึ่งมีชาร์จด้วยอ่ะ แต่ว่าคนขับคนนี้พูดอังกฤษได้ เชี่ยวชาญเมืองหังโจวเป็นอย่างดี เลยจะพาพวกเราไปทัวร์ที่ต่างๆ มากมาย … และในที่สุด ก็ได้กลับไปยังซีหู แต่เป็นคนละฝั่ง ที่ใกล้กับหอนางพญางูขาว ก็ขอบคุณพระเจ้า ที่ เขาไม่แวะขึ้นหอกัน แม้ไม่ได้ดูโชว์ที่ใครๆ กล่าวขานว่าอลังการยิ่งนัก เพราะตำนานของหอนี้ ไม่ถูกโฉลกกับความเชื่อของเรา
ถนนหนทาง สวยกว่ารอบเช้าที่เราไปเดินซะอีก แต่ว่านี่นั่งรถตลอด เลยเก็บภาพไม่ทัน โดยเฉพาะหุบเขาที่แสนสวย เสียดายจัง … พี่คนขับแก้ม แดงเหมือนแป๊ะยิ้ม บอกว่าได้รายได้วันละ 400 หยวนจากการขับแท็กซี่ของตัวเอง (คำนวณอย่างรวดเร็ว ตกเดือนละ 5 หมื่นบาท ถ้ามีวันหยุด) แต่อย่างว่าแหละ ค่าครองชีพ คนจีนสมัยนี้แพงหูฉี่ พี่เขาพาพวกเราไปยังหมู่บ้านชาหลงจิ่ง แล้วก็ชี้ตรงที่คนเยอะๆ ว่าจะไม่พาเราเข้าไป เพราะชาตรงนั้นแพงมาก จะพาไปที่ถูกๆ ละกัน ไปถึงหมู่บ้านที่ว่า ก็พาไปวิดน้ำจากบ่อลึกมาล้างมือ บอกว่าเป็นธรรมเนียมรับแขกของที่นี่ แล้วก็เดินเลาะเข้าไปบ้านสไตล์จีนแท้หลังหนึ่ง ซึ่งเก็บรวบรวมชาเป็นจำนวนมาก และบอกว่าที่นี่ขายราคาถูกที่สุด กล่องกระติ๊ดนึง 900RMB เนื่องจากเอารูปพระราชินีอลิซาเบ็ธเคยมานั่งจิบชากะเติ้งเสี่ยวผิงมาโชว์ในร้าน ผู้ใหญ่เลยบ่นอุบว่าหลอกขายชาเรารึเปล่า แต่หันไปเห็นคนญี่ปุ่นที่มาเป็นกลุ่ม แต่ละคนถือถุงชากล่องใหญ่คนละเต็มไม้เต็มมือหลายถุง เลยรู้ว่าคนจีนจากเซี่ยงไฮ้ก็จะลงมาซื้อชาที่นี่กันเองอยู่ทุกอาทิตย์
เราเลยต้องเล่าเรื่องแม่ของเล่าปี่ (ถ้าจำไม่ผิด) จาก 3 ก๊ก ที่ต้องเก็บเงินทั้งปีเพื่อจะซื้อชาขวดกระจิ๊ด เนื่องจากชาเป็นของสำหรับคนรวย และราคาแพงมาก (อย่างกะมารีย์เก็บเงินซื้อน้ำมันห้อมให้พระเยซูเลย) และคนจีนดื่มชาเป็นชีวิตประจำวัน ชาหลงจิ่งที่หังโจวเป็นต้นกำเนิด ก็แพงเป็นธรรมดา ตอนหลังผู้ใหญ่ก็เลยต่อรองราคาลงได้นิดหน่อย ก็ซื้อกันมาคนละกระปุก แล้วก็ออกจากหมู่บ้าน ลงเขา แต่รถติดมากเลย มาเห็นทีหลังว่านักท่องเที่ยวเยอะมาก มีทั้งเด็กๆ ที่มากะโรงเรียนเป็นพันๆ คนเดินอยู่ข้างถนน … เมื่อลงจากเขาชาได้แล้ว พี่คนขับก็พยายามพาไปซื้อของฝากพวกผ้าไหมอยู่หลายร้าน ทั้งที่ไม่มีใครอยากซื้อ เพราะไหมที่นี่แพงมากๆ แค่เนคไท หรือผ้าเช็ดหน้าเล็กๆ ยังชิ้นละพันหยวนขึ้นไป ในที่สุดก็ไปถึงสนามบินหังโจวจนได้ แต่ขาเข้าเนี่ยะสิ เพิ่งค้นพบว่าทั้งสนามบิน มีห้องน้ำอยู่ห้องเดียว
กลับมาถึงสนามบินไป่หยุนในกว่างโจวอีกครั้ง เครื่องบินดีเลย์เป็นชั่วโมง แถมกระเป๋าช้าอีกต่างหาก ทำให้คนขับรถของนิคที่มารอรับเซ็งไปยกใหญ่ อีกทั้งการสื่อสารก็ ไม่รู้เรื่อง จะส่งโทรศัพท์ให้เราคุยกะอลิศอยู่นั่นแหละ เราก็งงว่าคุยทำไม ในเมื่อแจ้งทุกอย่างล่วงหน้าไปเมื่อคืนนี้แล้วนี่หน่า ที่ไหนได้ ต้องการชื่อโรงแรมเป็นตัวอักษรจีน แต่ การสื่อสารหลายคนอีกก็นะ เลยทำให้ LOST in TRANSLATION จริงๆ คนขับก็บอกแต่แรกว่ารู้จัก Beijing Lu แต่ปัญหาคือหลายคนสับสน และแปลความสับสนนี้ไม่ออก เลยทำให้ถึง Hotel Canton ที่จองผ่าน hotels.com ดึกมากเลย โรงแรมนี้ก็เป็นแผนการอีกอย่างนึง ที่จะได้อยู่ใจกลางแหล่งชอปปิ้งทุกทิศทาง
แล้วชื่อที่จองผ่านบัตรเครดิตกับเว็บมันดันไม่ขึ้นที่โรงแรม เขาเลยจะเก็บเรทปกติ ซึ่งมันคือมากกว่า 2 เท่าของเรทที่จอง แถมเป็นเงินหยวนที่แข็งกว่าดอลล่าร์เสียอีก แต่คนจ่ายเงินก็ไม่ยอม ทำให้ต้องไปใช้บริการร้านเนทในโรงแรมชั่วโมงละ 400 ปรินท์กระดาษหน้าละ 20 หยวน จองกับเว็บเดิมอีกรอบ คราวนี้ก็ผ่าน แต่ทว่าชื่อก็ยังไม่ขึ้นกับทาง โรงแรมอีกจนได้ ก็เกือบจะมีเรื่องกับผู้จัดการต้อนรับสาว ผู้ใหญ่ที่พูดจีนก็บ่นก็เซ็ง ทุกคนก็เซ็งกันหมดแล้วแหละ กว่าที่คนจ่ายค่าโรงแรมจะทำใจยอมจ่ายเรทที่แพงกว่าที่ จองผ่านเนทได้ จำนวน 2 ห้อง ถึง 2 คืน สุดท้ายก็ต้องจ่ายๆ กันไปเป็นเงินหยวนอีกตะหาก กว่าจะเปิดห้องได้ก็ราวๆ 4 ทุ่ม บริเวณร้านค้าใกล้เคียงก็ปิดกันเกือบหมดละ
แต่ยังดีที่ร้านข้าวใกล้ๆ โรงแรมยังเปิดอยู่ร้านนึง ในรูปน่ากินมากๆ แต่สั่งมาแล้วเป็นอีกแบบ แต่รสชาดอร่อยมาก กินไป กินมา น้องก็บ่นอีกแล้ว คราวนี้เลยหุบปากไม่ได้ ต้องขอพูดความจริงบ้าง แม้จะทำให้น้องรู้สึกไม่ดีก็ตาม พูดออกไปอยู่ 2 ประโยค แต่เชื่อว่าเราจะจำกันไปชั่วชีวิต คือ ที่น้องบอกว่าถ้ามีตังค์จะไม่มาเที่ยวจีนหรอก เพราะไม่ ชอบคนจีนเลย ก็เลยขอพูดว่าเสียดายตังค์ที่มาแทน เพราะมาแล้วไม่มีความสุข ตั้งแต่มาไม่มีอะไรถูกใจ และเสียดายที่น้องก็มีเชื้อจีน แม้จะน้อยก็ตาม … ไม่ได้หาเรื่อง ทะเลาะกันหรอก เพราะถ้าไม่พูดออกไป เราเองก็คงต้องอึดอัดตาย ที่เอาน้องมาแล้วน้องผิดหวัง ก็เตือนแล้วจริงๆ ว่ามาเรื่องงาน อย่ากะเกณฑ์อะไรมาก ให้ทำใจกับคนที่มา ด้วย แม้ผู้ใหญ่คนนั้นจะปากร้ายเกินน้องรับได้ก็เหอะ
ที่สำคัญ เหตการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นแต่ละเรื่อง ที่ทำเอาเราเครียดมากๆ เรื่องโรงแรมทั้งสองแห่งเลย ความผิดตกอยู่ที่เราคนเดียว แล้วเวลาคุยอะไรกับคนในครอบ ครัวคือพี่สาว จะเถียง จะอะไรกันบ้าง เราก็พี่น้องกัน เข้าใจว่ากำลังเป็นอะไร แต่สายตาคนภายนอกต้องมารับรู้ ไม่เข้าใจ ก็แสดงความคิดเห็นไปอีกมุมนึง รวมทั้งแพลนงาน ทุกอย่างที่ปรับให้เข้ากับการพาน้องมากึ่งเที่ยว ก็ยอมโดนผู้ใหญ่ด่าว่าเสียเวลาไปเปล่าๆ อีกทั้งโรงงานก็สับสนกับการพาคนมาคุยงาน ฯลฯ ตามใจทุกอย่างแล้วยังไม่มีอะไรดี อีกหรือนี่
คืนนี้เลยจบลงด้วยความเงียบงัน แม้จะไม่ได้ใช้อารมณ์พูด คำพูดของเราคงบาดไม่น้อย แม้กระทั่งตัวเราเอง เลือกแล้วที่จะพูดออกไป แม้ต้องเสียสายใยก็ตาม