1. ทัศนคติต่ออาชีพการงาน
"คนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้ว และในความปรารถนานานา ที่ไร้ความคิด และเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเรา ต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป ด้วยว่าการรักเงินทองนั้น เป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์" [Tim 6:9]
"ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้" [Matt 6:24]
ใช่แล้ว . . . หากเป้าหมายการทำงานของเรา คือ ความร่ำรวยแล้วล่ะก็ ความเชื่อของเราที่มีต่อพระเจ้า จะต้องสั่นคลอนวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน หรือถ้าคนยังไม่เชื่อ ก็คงไม่พบพระเจ้าแน่ๆ … คุณเคยเห็นมั๊ย มหาเศรษฐีที่มีเงินทองกองล้น แต่หาสันติสุขไม่ได้ บ้านแตก สาแหรกขาด เพราะเงินทองทำให้คนโลภ และไม่รู้จักพอ
อ้าว … ถ้างั้นคริสเตียนไม่ต้องใช้เงินหรอ? ก็คงไม่ใช่ แต่เงินทองเติมเต็มชีวิตไม่ได้ ดังนั้น พระเจ้าต้องมาก่อน เพราะถ้าเรามีพระเจ้า เราจะมีทุกสิ่ง … การปรนนิบัติเงินทอง คือ การทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราปรารถนาอยากจะได้ อยากจะมี โดยพระเจ้าเป็นส่วนรองๆ ของเป้าหมายเหล่านั้น แต่หากเราปรนนิบัติพระเจ้าก่อน เราจะเห็นถึงความสำคัญของการนำวิญญาณ ช่วยเหลือผู้คนให้รับความรอด แม้พระเจ้าจะใช้เราในสาขาอาชีพใดก็ตาม
พระเจ้ามิได้ใช้เพียงคนที่ทำงานประจำกับคริสตจักร เพื่อขยายอาณาจักรของพระองค์ แต่พระเจ้าเรียกเราทุกคน และคนที่พระเจ้าเลือกและเรียก อาจจะอยู่ในบทบาทที่แตกต่างกันออกไป มิฉะนั้น นักธุรกิจก็ต้องเป็นอูฐรอดรูเข็มเสียทุกคน (Matt 19:24) นักประกาศน้อยๆ อาจจะเป็นคุณหมอ ชาวสวน คุณครู นักเล่นหุ้น เลขา พนักงานออฟฟิศ ฯลฯ (แต่คงไม่ใช่คนขายหวยอ่ะ)
"เจ้าเห็นคนที่มีฝีมือในงานของเขาหรือ เขาจะได้เข้าเฝ้าพระราชา
เขาจะยืนอยู่ต่อหน้าคนที่มีชื่อเสียง" [Prov 22:29]
ทัศนคติของเปาโลต่อการทำงาน
"แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่า และประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า
แต่ในชีวิตของข้าพเจ้า ขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติ ที่ได้รับมอบหมาย
จากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น"
เปาโล เป็นตัวอย่างที่ดีมากของพระคัมภีร์ใหม่ในการรับใช้พระเจ้า เขารักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ และอุทิศชีวิตให้กับการประกาศแผ่นดินของพระเจ้า แต่เขาได้วางแบบอย่างที่ดี นั่นคือ "ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’" [Acts 20:35] เปาโลเป็นอัครทูต เขาจะรอรับเงินถวายจากคนอื่นก็ได้ (ในบางครั้งเขาก็รับ) แต่เปาโลประกอบอาชีพเย็บเต็นท์ ไม่ต้องการเดือดร้อนใคร เลือกเป็นผู้ให้ มากกว่าเป็นผู้รับ
"จงตั้งเป้าว่าจะอยู่อย่างสงบ และทำกิจธุระส่วนของตน
และทำการงานด้วยมือของตนเอง เหมือนอย่างที่เรากำชับท่านแล้ว
เพื่อท่านจะได้เป็นที่นับถือของคนภายนอก และท่านจะไม่ต้องพึ่งอาศัยใครเลย"
[1The 4:11-12]
ในสมัยของเปาโล มีคริสเตียนที่รอการกลับมาของพระเยซูอย่างเข้าใจผิด โดยไม่ทำงานทำการงานอะไรเลย เปาโลจึงบอกว่า "ถ้าผู้ใดไม่ยอมทำงาน ก็อย่าให้เขากิน …ให้เขาทำงานด้วยใจสงบและหากินเอง" [2 The 3:12]
2. ว่าด้วยเรื่อง สิบลด (Tithe)
"พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์ เต็มขนาดมาไว้ในคลัง
เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูที หรือว่า
เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่" [Mal 3:10]
สิบลด หรือ ทศางค์ คือ 10% ของรายได้ หรือ กำไร ที่เราถวายให้กับพระเจ้า โดยผ่านคริสตจักร เพื่อใช้ในพระราชกิจของพระเจ้า เช่น ค่าน้ำ-ค่าไฟโบสถ์ เป็นทุนในการประกาศ เข้ามูลนิธิช่วยเหลือสังคม ฯลฯ แล้วแต่ผู้บริหารคริสตจักรจะจัดสรร ซึ่งที่มานี้ มิใช่มนุษย์ตู่ขึ้นเอาเอง แต่พระเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ใน Lev 27:30 ว่า "ทศางค์ ทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดินเป็นพืช ที่ได้จากแผ่นดินก็ดี หรือผลจากต้นไม้ก็ดีเป็นของพระเจ้า เป็นสิ่งบริสุทธิ์ แด่พระเจ้า"
การถวายสิบลด หรือ ทศางศ์นี้ เปรียบเสมือนการถวายเครื่องบูชา ตั้งแต่สมัย คาอินและอาแบล โดยชาวยิวถือเป็นการนมัสการพระเจ้าอย่างหนึ่ง เป็นการแสดงความสัตย์ซื่อและสำนึกในสิ่งที่พระเจ้าอวยพรเรา … ตัวอย่างการถวาย 10% ในพระคัมภีร์ได้แก่ อาแบล อับราฮัม ยาโคบ เฮเซคียาห์ โดยในยุคหนึ่ง ผู้คนเป็นอยู่อย่างสุขสบาย สนใจแต่ตัวเอง แต่ละเลยที่จะถวายสิบลด พระเจ้าถึงกับตำหนิประชาชนว่า "ฉ้อพระเจ้า" … ในคริสตจักร ไม่มีใครตรวจสอบว่าใครถวายหรือไม่ หรือเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับเราตกลงกับพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงรู้ว่าเรานั้นสัตย์ซื่อหรือไม่
ใครรู้บ้างว่าเจ้าของบริษัท คอลเกต ชื่ออะไรยกมือขึ้น? 555 เค้าคือ Mr.Colgate เด็กชายผู้ยากจน ทำอาชีพขัดรองเท้า และเป็นเด็กโรงงานทำสบู่ วันหนึ่ง เค้าได้มอบชีวิตของเค้าให้กับพระเจ้า และสัตย์ซื่อในเรื่องการถวายสิบลดเรื่อยมา และต่อมาได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับยาสีฟัน จนในที่สุด เค้าเพิ่มสิบลดจาก 10% 20% … มากขึ้น จนกระทั่ง 90% ท่านคอลเกตนี้ ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว แต่ชื่อชื่อสินค้าก็ยังคงโด่งดังไปทั่วโลก
อีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจมากๆ คือ TL Osborn เขาถูกทดสอบความเชื่อ เมื่อเขาได้ใช้เงินที่มีอยู่ทั้งหมด ไปในงานพระเจ้า และถึงเวลาที่จะต้องจ่ายค่าผ่อนรถ 40$ ในสมัยนั้น เขาแสวงหาพระเจ้า และถูกท้าทายด้วยคำว่า "จงลองดูเรา" จากพระเจ้า เขาสัตย์ซื่อ แม้จะไม่มีค่าผ่อนรถในวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อเขาวางใจพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของเงินทอง วันรุ่งขึ้นเมื่อเขาตื่นขึ้น ธนบัตรใบละ 1$ กระจายอยู่ทั่วห้องนอน ทั้งหมด 40 ครบตามจำนวน 5555 ทฤษฎีของใครที่ว่า พระเจ้าจะไม่ส่งเงินมาตรงหน้า คงใช้ไม่ได้ผล มีความเชื่อที่ไหน แบงค์ดอลล่าก็หล่นจากเพดานห้องได้ทั้งนั้นแหละ
โดยส่วนตัว ก็ถวายสิบลดมาตั้งแต่เด็กๆ เลยรู้ว่าการอวยพรผ่านการถวาย ตามพระสัญญานั้น มันคุ้มค่าเพียงใด เพราะพระองค์ไม่เคยเอาอะไรจากเราฟรีๆ บางครั้งถวาย 100 ไม่กี่วันอยู่ๆ มีญาติให้มา 5 พัน เท่าที่เห็น คริสเตียนหลายคนที่ไม่ได้ถวายสิบลด มักมีปัญหาการเงิน เช่น บางคนกระเป๋าเงินหายบ่อยมาก ฯลฯ เคยมีปัญหาเหมือนกัน ตอนทำงานใหม่ๆ คิดว่าเงินเดือนน้อย เลยทบสิบลดไว้เดือนต่อไป เวลาที่เราทบไปทบมา มันยิ่งบานปลาย จนต้องตัดใจหาทางถวายให้ได้ สถานการณ์จึงกลับเป็นปกติดังเดิม
3. การให้ และการบริจาค (Giving & Donation)
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายจนคนนี้ ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวาย
มากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น เพราะว่าคนทั้งปวงนั้น ได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้
แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่ สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด" [Mark 12:43-44]
การให้ หรือ บริจาค นี้ เป็นการถวายที่นอกเหนือ 10% หรือสิบลดของเรา แต่เสมือนว่าเราถวายแด่พระเจ้าด้วย เช่น การช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียนที่ยากจน การถวายเงินเพื่อการประกาศ การถวายเพื่อสร้างอาคาร การสงเคราะห์งานการกุศล ฯลฯ การถวายนี้เป็นเหมือนเครื่องหอมบูชาเช่นกัน (Phi 4:18)
คริสเตียนหลายคนคิดว่า พระเจ้าจะใช้คนรวย หรือนักธุรกิจ ให้มีของประทานด้านการถวายเป็นพิเศษ จริงๆ แล้วอาจเป็นคนธรรมดาทั่วไป บ่อยครั้งในพระคัมภีร์ พระเยซูชื่นชมใคร มักจะเป็นบุคคลที่มีความเชื่อ และ "ไว้วางใจพระเจ้า" การถวายสุดกำลัง เป็นการแสดงความไว้วางใจในพระเจ้า ที่พระองค์พอพระัทัยยิ่งนัก พระเจ้ามิได้ต้องการเงิน แต่พระองค์ต้องการ "หัวใจ"
อย่าถวายเมื่อท่านคิดเสียดาย "ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้น ที่ให้ด้วยใจยินดี" [2 โครินธ์ 9:7] การถวายที่จะได้รับพระพร เป็นการถวายด้วยใจเท่านั้น ถ้าฝืนใจให้ใคร จะไม่เกิดประโยชน์อะไร
และท้ายที่สุด "เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทำทาน อย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคด กระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อให้คนสรรเสริญ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้าย รู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น ทานของท่านจะต้องเป็นทานลับ และพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน" [Matt 6:2-4]
4. เรื่องของ ผลแรก (First Fruits)
"จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยทรัพย์สินของตน และด้วยผลแรกแห่งผลิตผลทั้งสิ้นของเจ้า" [Prov 3:9]
ผลแรก หรือ First Fruits มิใช่ สิบลด และ มิใช่ การบริจาค แต่ในพระคัมภีร์ (Exo 23:16; Lev 23:10) พูดถึงผลแรกว่า เป็นผลผลิตรุ่นแรก เช่น ข้าวที่เกี่ยวรุ่นแรก ต้นมะม่วงในสวนออกผลชุดแรก หรือเงินเดือนเดือนแรก ฯลฯ
ตั้งแต่เห็นคนที่ถวายผลแรกมาก็เยอะ โดยคนที่ไม่ได้ร่ำรวย ก็ไม่เห็นมีใครจนเพราะถวายแบบนี้ซักราย การถวายนี้ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ พระเจ้าไม่เคยบังคับใครอยู่แล้วนี่หน่า แต่คล้ายๆ เรื่องสิบลด "ลองดูเรา" นั่นเลย เพราะพระสัญญาเรื่อง First Fruits นี้ พระองค์บอกไว้ว่า "แล้วยุ้งของเจ้าจะเต็มด้วยความอุดม และบ่อเก็บของเจ้าจะล้นด้วยเหล้าองุ่น" [Prov 3:10] พระพรที่ได้รับ มากกว่าที่เราถวายเสียอีก และข้อนี้อยู่ใน บท 3 สุภาษิต เรื่องความวางใจซะด้วย … ถ้าท่านอยากเป็นบุคคลแห่งความเชื่อ ขอแนะนำให้ตัดใจถวาย แม้ว่าจะต้องลำบากเดือนแรกก็ตาม
ลองดูคริสเตียนที่เมื่อก่อนจน เดี๋ยวนี้รวย ถ้าคุณสัมภาษณ์ เคล็ดลับของเขาอยู่ที่ การถวาย โดยเฉพาะ นักธุรกิจที่ถวายผลแรกให้พระเจ้าก่อน เขาจะมั่งคั่งดังพระสัญญา ที่จะมีเต็มและล้น
สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า ใครที่ร่ำรวย ให้เต็มด้วยการขอบคุณและสรรเสริญ และ "พระเจ้าได้ทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ" [James 2:5] หากเรายากจน ให้สรรเสริญพระเจ้า เพราะนี่เป็นโอกาสที่เราจะใช้ความเชื่อ และสิ่งที่เราเชื่อตอนนี้ จะกำหนดอนาคตข้างหน้าของเราด้วย พระเจ้าไม่ให้ลูกพระองค์ตกต่ำตลอดไป จะขาขึ้นหรือลง เราต้องผจญทุกสิ่งให้ได้ด้วยพระเยซู และที่สำคัญที่สุด ขอให้เราทำสิ่งใดๆ ด้วยความรัก
"อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น" [1 John 2:15]
แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ [Phi 3:20]
พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ [Heb 11:6]
เดี๋ยวคราวหน้าจะเขียนเรื่องการออมเงินตามแบบฉบับพระคัมภีร์