Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

Dont Give Up Your Dream – ฝันให้ไกล ไปให้ถึง

จากคำเทศนาของ Judy Jacobs เกี่ยวกับ ความฝัน นิมิต และคำพยากรณ์
http://www.youtube.com/watch?v=1RLCwCbCGbk
http://www.youtube.com/watch?v=gJvo1no5J1Q
http://www.youtube.com/watch?v=_2q8es-I52o

ในหนังสือ ปฐมกาล 37:5 โยเซฟ บุตรที่รักยิ่งของยาโคบ
พวกพี่ชายเกลียดเขา เพราะเป็นที่รักของบิดามาก โยเซฟมีความฝัน
และเมื่อเขาบอกความฝันกับพี่ชาย พวกเขาเกลียดโยเซฟมากกว่าเดิม

ไม่มีใครชอบสิ่งที่คุณฝันได้เสมอหรอก แม้แต่ครอบครัวของคุณเอง ผู้คนอาจจะเกลียดคุณ เพราะสิ่งที่คุณกำลังฝัน เพราะว่าไม่มีใคร อยากจะเห็นคุณก้าวต่อไปในระดับที่สูงขึ้น แต่คุณก็ต้องฝันต่อไป เชื่อต่อไป

ฤทธิ์อำนาจของความเป็นความตายนั้น อยู่ในสิ่งที่เราพูด ถ้าเราไม่พูด เราจะไม่เห็น เมื่อเราเริ่มพูดสิ่งที่พระเจ้าพูดกับเรา เรากำลังท้องความฝันนั้นในฝ่ายวิญญาณอยู่ เราไม่อาจบอกทุกคนได้ในสิ่งที่เราฝัน มีแต่ผู้คนที่เชื่อในความฝันคุณเท่านั้น บอกได้แต่คนที่เชื่อ ว่าพระเจ้าใส่บางสิ่งให้คุณ

เราต้องรู้ ว่าพระเจ้าได้พูดอะไรกับเรา ถ้าพระเจ้าบอกว่า หายแล้ว นั่นแปลว่าหายแล้ว
ไม่ว่าหมอจะพูดว่ายังไงก็ตาม ครอบครัวจะคิดยังไงกับเรา ว่าพระเจ้าไม่มีจริง ไม่ได้พูด
ถ้าคุณได้รับถ้อยคำที่มาจากพระเจ้าไม่มีสิ่งใดสามารถเปลี่ยน สิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสได้
พระเจ้ามองเห็นตอนจบ ตั้งแต่ตอนแรกเริ่มแล้ว พระเจ้าได้ใส่บางสิ่งบางอย่างให้คุณ
แม้แต่มารซาตาน ก็ไม่อาจเอามันออกไปได้ คุณต้องเชื่อต่อไป

หลังจากที่คุณดำเนินตามน้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว คุณอาจได้รับพระสัญญา
เชื่อเท่านั้น เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ พระองค์จะทำมัน

โยเซฟได้รับความฝัน ว่าวันนึงเขาจะปกครองพี่ชาย ปีแล้วปีเล่า ปีแล้วปีเล่า
เช่นเดียวกับอับราฮัม พระเจ้าไม่อาจเป็นผู้มุสาได้ อย่าได้แคร์ว่าตั้ง 5 ปี หรือ 15 ปี
หรืออาจจะนานจน 25 ปี ให้ยึดความเชื่อเอาไว้ และวางใจด้วยสุดหัวใจว่านี่เป็นความฝัน
เป็นนิมิตที่มาจากพระเจ้า คำพยาการณ์เหล่านี้ จะต้องเกิดขึ้น
ปฎิเสธความคิดที่มองด้วยสายตาธรรมชาติออกไป เราเชื่อในพระเจ้า
และสิ่งมากมายที่บุตรของพระเจ้าเชื่อ ในพระคัมภีร์ ได้เกิดขึ้นจริงๆ

วันนึง โยเซฟ เริ่มเห็นความฝันตัวเองเป็นจริง เขาได้พบคนของพระราชา แต่ก็ถูกลืม
บางคนอาจจะลืมคุณไปแล้ว บางที คนที่คุณเคยอาจช่วยเหลือมาตลอด ก็ยังลืมคุณ
แต่คุณก็ยังเป็นคุณ และพระเจ้าไม่เคยลืม สิ่งที่เราเคยฝัน พระองค์จะให้มันเกิดขึ้น

ต่อมา ฟาโรห์ก็มีความฝัน พนักงานพระราชาคนนั้นที่ได้ลืมโยเซฟไปแล้ว ก็ระลึกขึ้นได้
พระเจ้าจะทรงนำให้ใครบางคนเข้ามาหาคุณ มีบางคนพร้อมแล้วที่จะระลึกถึงคุณ
พนักงานก็บอกเรื่องของโยเซฟแก่ฟาโรห์ โยเซฟจึงถูกนำตัวออกมา โกนหนวด เปลี่ยนผ้า
ทันใดนั้น ก็ยืนอยู่ต่อหน้าพระราชา และเปลี่ยนเป็นคนมีอำนาจภายในวันเดียว

โปรโมชั่นนั้นมาถึงคุณแล้ว อย่าหยุดที่จะฝัน อย่าสิ้นหวังในคำพยากรณ์ นิมิต หรืองานรับใช้
อย่าสิ้นหวังในผู้คนรอบข้าง ครอบครัว หรือการหายโรค ให้กล่าวถึงการหายโรค พระพร ไฟ
การเจิมต่างๆ ที่มาจากพระเจ้า น้ำที่จะท่วมท้นจิตวิญญาณ ให้ประกาศว่า ฉันมีความฝัน

พระเจ้าได้ใส่บางสิ่งบางอย่างในทุกๆ คนที่อยู่รอบข้างเรา แม้แต่ดาเนียล
เจ้าชายแห่งเปอร์เซีย เจ้าอำนาจแห่งพลังความมืด พยายามจะหยุดยั้งความฝันของเขา
แต่พระคัมภีร์บอกว่า ทูตสวรรค์มาบอกเขาว่า ตั้งแต่วันแรกที่ดาเนียลอธิษฐาน พระเจ้าได้ยิน
มารบอกพระเจ้าไม่ได้ฟังคำอธิษฐาน แต่พระเจ้าองค์เดียวกันนี่แหละ ที่ตอบคำอธิษฐานของโยเซฟ
พระเจ้าองค์เดียวกัน ที่ตรัสกับเอลียาห์ในความฝัน ว่าให้ลุกขึ้นรับประทาน เพราะการเดินทางนั้นยาวไกล

ให้เตรียมตัวให้พร้อม ผู้คนจะมาหาคุณ ในที่ที่คุณอยู่ ไล่ล่าตามฝันของคุณ
เพราะเอลีชา กำลังรอคุณอยู่ โบอัส ก็รอคุณอยู่ ผู้คนของพระเจ้าเฝ้ารอคุณอยู่
อย่าออกมาจากสิ่งที่คุณฝัน อย่ารับสิ่งที่เป็นรองกว่า รอคอยพระเจ้า
เข้มแข็งและกล้าหาญเถิด พระองค์จะทรงเสริมกำลัง ขอเผยพระวจนะให้ใครบางคนวันนี้

พระเจ้ากำลังตรัสว่า “จงรอคอยในพระองค์ เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่
มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ ไม่ล่าช้านัก” (Hab 2:3) ไม่ต้องแคร์ว่า ภูเขาจะหายไป
มันจะจมลงไปอยู่ในทะเล โลกนี้จะมลาย พระเจ้าตรัส ให้คุณยืนอยู่ และคงความเชื่อ
พระวจนะของพระเจ้าจะเป็นดังที่คุณได้พูดมันออกมา ความฝัน นิมิต คำพยาการณ์มาจากพระเจ้า
อย่าเหวี่ยงมันออกไป นี่เป็นเวลาที่จะเชื่อในพระเจ้า ถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเชื่อ
ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินกำลังพระเจ้า
คุณกล้าเชื่อหรือไม่ ว่าการเยียวยารักษาจะมาถึงคุณ?
คุณกล้าเชื่อหรือไม่ ว่าบุคคลของพระเจ้าจะมาหาคุณ?

คุณเห็นความฝัน นิมิตของคุณเกิดขึ้นจริงมั๊ย?

1 Comment »

Who will go for Us? – ใครจะไปบอกที่สุดปลายแผ่นดิน?

วันนี้ขณะที่นมัสการพระเจ้ากับกีต้าร์ เปิดเล่นตั้งแต่ Key A-G ไปจนจะหมดเล่มแล้ว ยังไม่สัมผัสอะไรมาก ได้ถ้อยคำจากบางเพลงมาเล็กน้อย หนุนใจได้บ้าง แต่ในใจยืนยันว่าไม่ว่าจะรู้สึก หรือไม่รู้สึก เราจะยังนมัสการพระเจ้าต่อไป วันนี้ทิ้งงานที่กังวลไว้ก่อน อยากจะอยู่อย่างนั้นทั้งวัน แม้ไม่รู้สึกอะไร … แค่อยากใช้เวลากับพระองค์บ้าง เพราะหลังๆ มา ไม่ค่อยได้มีเวลาส่วนตัวเลย

จนกระทั่งมาถึงเพลง To the End of the Earth และเพลง We Speak to Nations เกือบหน้าสุดท้าย
แม่น้ำไหลออกมาเป็นสาย ทั้งจากสวรรค์ลงมายังห้อง และจากดวงตาน้อยๆ ลงกระดาษทิชชู่
นานมากแล้ว ….. ที่ไม่ได้ร้องเพลงแห่งการทรงเรียก
นานมากแล้ว ….. ที่อดทนนนน รอคอยยยย บางอย่างมานานแสนนานนนนน จนเกือบลืมไป

ท่อนนึงของเพลงบอกว่า
Hear the sound …
The sound of the nations calling
The sound of the fatherless crying …

ทั่วโลกกำลังปั่นป่วน เหตุการณ์ตามที่พระคัมภีร์ให้ไว้ เกิดขึ้นจริงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่ว่าจะข่าวลือเรื่องสงคราม การกันดารอาหาร แผ่นดินไหวที่มากขึ้นทุกวันๆ และอีกมากมาย ฯลฯ
เสียงของผู้คนทั่วโลก กำลังร้องไห้อย่างก้องกังวาน
เสียงของผู้คนที่อยู่ในความกลัวกำลังส่งเสียงระทมทุกข์ … เพลงถามต่อไปอีกว่า
Who will go for us?
Who will shout to the corners of the earth that Christ is King?

ทำไมเพลงถึงกระแทกใจ???

ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่กระแทกใจมาก เพราะเมื่อวันก่อน คุยกับน้องผู้ชายคนนึง เรื่องเพลงภาษาอังกฤษ
ย้อนไปหลายเดือนก่อนเคยอธิษฐานเผื่อน้องคนนี้ ขณะที่อธิษฐาน สัมผัสคำเผยพระวจนะ ที่พระองค์อยากให้บอกเค้า
พระเจ้าจะใช้น้อง…ไปนำคน ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่ต่างประเทศ ที่สุดปลายแผ่นดินโลก …
โดยปกติ น้องชอบค้าน เวลาพวกพี่ๆ ร้องเพลงนมัสการภาษาอังกฤษ และชอบบอกว่าผมร้องไม่เป็น
แต่เวลาเพลงร็อค หนักๆ จากต่างประเทศ กลับเป็นแฟนตัวยง และร้องได้ เราก็ เฮ้ย นึกว่าไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย
วันก่อน ด้วยจำสิ่งที่พระเจ้าจะเรียกใช้เค้า จึงบอกน้องไปว่า “ฝึกภาษาอังกฤษเพลงนมัสการไว้นะ พระเจ้าจะให้…ได้ใช้
ไม่รู้หรอกนะ ว่าน้องไปฟังอะไรมาจากไหน น้องตอบว่า “ผมเป็นฆารวาส ไม่ได้เป็นผู้รับใช้
ต่างคนต่างงง แล้วก็แค่บอกไปว่า “วันนึง พระเจ้าจะเรียก

มนุษย์มักกำหนดอะไรกันเอาเองเสมอ “ฆารวาส” ก็ไม่เคยเป็นศัพท์ที่บัญญัติมาจากพระคัมภีร์
แล้วพระคัมภีร์ก็ไม่เคยบอกซักหน่อยว่า คนที่รับใช้พระเจ้า จะต้องได้รับค่าจ้างรายเดือนเหมือนพนักงานออฟฟิศ!!!
ขอถามหน่อยว่า เปาโล เป็นผู้รับใช้หรือฆารวาส เพราะเปาโลเทศนา สั่งสอน ขณะที่เย็บเต็นท์หารายได้เลี้ยงชีพ???
พระคัมภีร์ ไม่เคยบังคับว่า หากใครซักคนจะประกาศเรื่องพระเยซู จะต้องลาออกจากงานมาเป็น “ผู้รับใช้เต็มเวลา” และก่อนพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ไม่ได้พูดใส่ไว้ในวงเล็บว่า “เจ้าทั้งหลาย (ที่มีของประทาน) จงออกไปทั่วโลก ประกาศ สั่งสอน ให้ทุกคนดำเนินตามคำสอนของพระองค์” … ไม่มีของประทาน แต่อยู่ในงานที่ทำให้พระมหาบัญชา เป็นหัวใจหรือเปล่า???

ในหนังสือ อิสยาห์ 6:8 เพราะเจ้าตรัสว่า “Who will go for Us?เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนเรา?
ตลอดชีวิตคริสเตียนที่ผ่านมา เห็นคนที่มีหัวใจ อยากทำอะไรเพื่อพระเจ้า “ซักวันหนึ่ง
และซักวันนึงของคนส่วนใหญ่ คือบั้นปลายชีวิต ที่หมดแรงกำลัง ไปกับการหาความมั่นคงของชีวิต
เห็นคนเก่งมากๆ หาเงินเก่งมากๆ แต่ไม่เคยมีเวลาทำในสิ่งที่เคยอยากจะทำจริงๆ ในงานรับใช้
และเห็นหลายคน ที่ต้องจากโลกนี้ไปก่อน ก่อนจะได้ทำตาม “ความฝัน” ของเขา

พระเจ้าไม่ได้เรียกทุกคนจริงหรือ???

นี่เป็นคำถามที่ไม่ควรเอาศาสนศาสตร์เข้ามาถกเถียง
คำถามนี้ พระเจ้าต้องการ “อาสาสมัคร” คือ คนที่ตอบพระเจ้าอย่างอิสยาห์ว่า “Here am I! Send me
พระเจ้าอาจไม่บังคับใครโดยบอกว่า ไปทำนี่สิ ไปทำโน่นสิ เพราะถ้าบอก แล้วใจยังคัดค้านอยู่ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ในพระคำที่เราอ่านกัน มีมากมายหลายตอน ที่บอกให้รู้ว่า สิ่งที่เรามีทั้งหมด เงินทอง ชื่อเสียง ฯลฯ แม้แต่ลมหายใจ
เป็นของประทานจากเบื้องบน บางคนมีมาก บางคนมีน้อย แต่วันนึง เจ้าของจะมาคิดบัญชี ว่าเกิดประโยชน์อะไรบ้าง

จะมีกี่คน ที่จะตอบสนองคำถาม “ใครจะไปแทนเรา?
เป็นสิ่งที่น่าปวดใจ เมื่อมองเห็นจำนวนคริสเตียนในประเทศไทย 0.5% เป็นประเทศที่น้อยที่สุดในโลก!!!
ถ้ามีคนบอกว่า “ข้าพระองค์จะไปเพื่อพระองค์” กันมากแล้ว ประเทศไทยเรา คงมีผู้เชื่อมากกว่านี้นานแล้ว
ไม่ได้บ้า ศาสนา ไม่ได้บ้า ตัวเลข แต่คนที่พบพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ดี ว่าชีวิตดีขึ้นมากแค่ไหน เมื่อได้รู้จักพระองค์จริงๆ

เหมือนกับเพลง Amazing Grace ที่บอกว่า “was blind, but now I see” คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า
ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเดินอยู่ในทางที่ผิดบาป ชีวิตมีแต่เลวร้าย จนได้เจอกับแสงสว่าง จึงรู้ว่าเมื่อก่อนตาบอด บัดนี้เห็นแล้ว
เหมือนกับประเทศเกาหลี ยากจน ข้นแค้น จนเมื่อคริสเตียนในประเทศเติบโต เป็นนักอธิษฐาน ความเจริญก็มาถึงด้วย
เช่นเดียวกับประเทศไทย การเมืองมีแต่เรื่องสกปรก คอรัปชั่น ปัญหายาเสพติด รถติด การค้าประเวณี การหย่าร้าง ฯลฯ
แต่ถ้าพระเจ้าไปนั่งอยู่ในหัวใจคนไทยจำนวนมากเมื่อไหร่ เราจะได้เห็นประเทศของเราเจริญ มีความสุข สดใสจริงๆ
เพราะพระองค์มีฤทธิ์อำนาจเปลี่ยนสิ่งเลวร้าย กลายเป็นดีได้ “เพราะพระเยซูมา เพื่อให้ทุกสิ่ง ครบบริบูรณ์

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งที่พระองค์ให้ไว้ สิ่งที่พระองค์ตรัส และใส่ไว้ในใจตั้งแต่เด็กมา
เรารู้ว่าเราเป็นใคร และที่สุดแล้ว เราจะทำอะไร เพราะพระองค์พูดแล้ว สิ่งที่พระเจ้าพูด เป็นจริงเสมอ
แม้โลกนี้พยายามบอกว่ามีอะไรหลายสิ่งสำคัญกว่า แต่ถ้าใครซักคนอาสาแล้ว พระเจ้าจะส่งไป

เพลง We Speak to Nations เป็นปฐมบทแรกในการเขียน Blog
เพราะขณะที่วันนี้หา VDO บน Youtube ก็บังเอิญไปเจอคำเทศนาของ Judy Jacobs
เกี่ยวกับ “ความฝัน นิมิต และคำเผยพระวจนะ” เป็นสิ่งที่หนุนใจ ให้กับชีวิตที่เดินทางมาจุดที่ต้องรอคอยแสนนานนน
และทำให้ เรารู้เหตุผล(แบบจริงๆ) ว่าทำไมเราถึงยังไม่ตาย!!!???

“When God give you a dream, it gives to no one else, but you
It’s your dream. It doesn’t belong anyone else
God said – – – If you’re FAITHFUL with LITTLE, I’ll be FAITHFUL with MUCH – – –
That’s why you have to take it & work & never give up”

เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่ มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันไม่มุสา
ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก” [Hab 2:3]

[ จะมาแบ่งปันคำเทศนาของ Judy Jacobs ในคราวต่อไป … ส่วนนิยายตอนต่อ ก็ยังไม่ลืม 555 ]

Leave a comment »

I’m Resting, but seem not – อยากพักสงบ แต่นอนไม่หลับ

ขณะนี้เวลา 0.40 ของวันสะบาโต ข่มตานอนมาเป็นเวลา 70 นาทีแล้ว
ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้นอนวันละประมาณ 5 ชั่วโมง และมันจะตื่นเองโดยอัตโนมัติ นอนต่อไม่ได้ ไม่รู้สาเหตุ ถ้ารู้คงแก้ไปแล้ว 555 โดยปกติ นอนประมาณ 6-7 ชั่วโมง ก็จะตื่นเอง นอนกลางวันไม่เป็น … บัดนาว จึงมานั่งเขียนๆ ระบาายๆ ความในใจ เผื่อจะดีขึ้้น 😀 😀 😀

เมื่อต้นปีได้พิจารณาหลายๆ สิ่ง รู้สึกว่าปีนี้ เป็นปีที่อยากจะพักผ่อน และหยุดการรับใช้ทุกอย่างลง เพื่อพักฟื้นจิตวิญญาณได้อย่างเต็มที่ หลังจากที่เพิ่งค้นพบว่าคนที่ Burn-Out ไม่ใช่ใคร แต่เป็นตัวเราเอง และเราก็ไม่ชอบคำๆ นี้ เพราะมันแลดูอ่อนแอ ไม่ใช่นักรบตัวจริง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับ …

เริ่มจากต้นปี เคยได้เล่าไปนิดนึง ว่าจับฉลากของขวัญปีใหม่ ได้หมอน!!! แปลกมาก ใครเค้าเอาหมอนมาจับฉลากกัน เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ก็มีน้องคนนึงพูดว่า สงสัยพระเจ้าอยากให้พี่พักผ่อน ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งได้เจอหนังสือชื่อว่า “When God Tell You to Rest” เกี่ยวกับงานรับใช้ของผู้หญิงคนนึงหลัง 15 ปีแห่งการเป็นมิชชันนารี

อ่านแล้ว รู้สึกว่าคนอื่นอึดกันจริง 10-15 ปีจึง Burn-Out (เป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับฝรั่ง แต่คนไทยไม่ค่อยรู้) แต่เราก้าวเข้ามาในงานรับใช้ทันที ที่ได้รู้จักและสัมผัสพระเจ้า เพราะพระองค์ก็มีการทรงเรียกมาเวลาเดียวกัน ปีนี้นับเป็นปีที่ 7 ซึ่งเลข 7 นับเป็นเลขสะบาโตในพระคัมภีร์ เลขแห่งความสมบูรณ์ พระเจ้าสร้างโลก 6 วัน วันที่ 7 เป็นวันหยุดพัก เราก็เลยถือเอาว่า ปีนี้เป็นปีสะบาโตของเราก็แล้วกัน เพราะถ้าปีนี้ไม่พัก มันคงจะปรี๊ดแตกเข้าซักวัน … เอ๊ะ หรือว่าปรี๊ดไปแล้ว??? (T_T)

แล้ววันหน้าค่อยมาเล่าดีกว่า ว่าหนังสือเล่มที่ว่า มีอะไรน่าสนใจ

รู้แต่ไอ้อาการที่ว่า โดยส่วนตัว มันเป็นความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เหมือนแบกรับอะไรอยู่ซักอย่าง ไม่ได้มีความรักชนิดเต็มล้นให้ผู้คนอื่น อย่างเมื่อก่อน ฟิตมากๆ ไปโบสถ์ 4 วันต่ออาทิตย์ อังคาร เรียนพระคัมภีร์ทุ่มนึง ศุกร์อธิษฐานทุ่มถึง 4 ทุ่ม เสาร์ ไปประกาศบ้าง อธิษฐานกับกลุ่มบ้าง ทำพันธกิจกับชุมชนบ้าง อาทิตย์ก็ไปนมัสการ และสามัคคีธรรมรอบบ่ายกลุ่ม Young Pro: AGAPE โดยลืมไปว่าโบถส์อยู่สุขุมวิท 77 บ้านอยู่ชานเมือง เดินทางขาไปอย่างเดียว 2-3 ชั่วโมง ขากลับอีกชั่วโมง … แต่มาบัดนี้ ข้างในมันฟ้องว่าไม่ไหวแล้ว แค่ไปโบสถ์วันอาทิตย์วันเดียว ยังอยากจะไปโบสถ์แถวบ้านซะงั้น

การทำกลุ่มสามัคคีธรรม (Fellowship Group) เป็นการทรงเรียกพิเศษอย่างหนึ่ง ที่ไม่เคยมีภาระใจ และไม่เคยคิดอยากจะทำแม้แต่น้อย และปฎิเสธสิ่งนี้มาตลอด แต่คืนอธิษฐานวันศุกร์ทีไร ไม่รู้ทำไมพระเจ้าเร้าใจให้อธิษฐานเผื่อ และอยากให้มีกลุ่มนี้เกิดขึ้นทุกที จนกระทั่งปลายปี 2004 หรือราวต้นปี 2005 กลุ่มที่ว่าจึงเริ่มขึ้น และชื่อว่า A G A P E (เป็นภาษากรีก แปลว่าความรักแบบพระเจ้า หยิบยืมชื่อมาจากกลุ่มสมัยอนุชนซึ่งยุบไปนานแล้ว) จากรุ่นแรกราวๆ 6-7 คน มีพี่โอ๊ต ตาล เก้ แชมป์ และเป้ จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่เคยบันทึกและจดจำว่ามีกี่รุ่น จำได้เพียงว่า มีคนผ่านมา และ ผ่านไปเป็นร้อย ขาประจำ ขาจร ขาย้าย ฯลฯ

แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขนะ ได้สัมผัสความรักของพระเจ้ามากมายผ่านกลุ่ม ไม่ใช่เพียงความรักที่ได้รับจากพี่น้อง แต่ก็ฝึกความอดทนนาน รักผู้คนที่ไม่น่ารัก ซึ่งพระเจ้าที่แสนดี ก็ส่งประมาณนั้นมาให้ตลอด 555 ได้เห็นพี่น้องที่บังเกิดฝ่ายวิญญาณ และเติบโตขึ้น ได้เห็นพลังแห่งการอธิษฐานร่วมกัน การใช้ของประทานต่างๆ การหนุนใจ การรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ (กลุ่มเคยไปอธิษฐานเผื่อคนกินยาฆ่าตัวตาย สุดท้ายรอดมาอย่างอัศจรรย์ ทั้งที่หมอบอกว่าไม่รอด) การเผยพระวจนะ การนมัสการ การแบ่งปันพระคำ ฯลฯ

วันเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มจากหายไปมากมาย แต่งงานบ้าง ย้ายไปอยู่ต่างประเทศบ้าง ย้ายโบสถ์บ้าง ฯลฯ ไม่ใช่เพียงแต่ภาพด้านสวยงาม เราได้เห็นทั้งความโศกเศร้าที่บางคนต้อง(หลง)หายไป ด้วยเหตุผลส่วนตัว ที่ Only God Know Why! จนกระทั่งทุกวันนี้ … จากอาการ Burn-Out นี่เอง ที่ทำให้อยากหยุด อยากถอนตัว รวมถึงเรื่องกลุ่มด้วย เพราะมันเคว้งมาก ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เคว้งเพราะเพื่อนๆ น้องๆ รุ่นก่อน หิวกระหายพระเจ้า อยากสามัคคีธรรมร่วมกัน โดยไม่ต้องตาม ไม่ต้องรอ หรือบางคนที่ต้องตาม เค้าก็ยอมให้เคี่ยวเข็ญ และว่านอนสอนง่าย รับรู้ถึงความเป็นพี่น้องคริสเตียน เคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งต่างกับทุกวันนี้มาก

ไม่ใช่ว่าพี่น้องรุ่นใหม่ๆ ไม่ดี แต่ด้วยตัวเราอยากจะถอดตัวเอง จึงไม่ได้ตระหนักว่า เราเองเป็นผู้นำ จึงคิดว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะตามใคร ขอร้องใคร ใครนัดเที่ยวกับแฟนวันอาทิตย์ ใครอยากไปดูหนัง อยากนอน อยากสนุกสนานไปกับโลก ใครอยู่กับกระแสที่ไหนก็ได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูด ต้องตาม เพราะคิดอยู่เสมอว่า ทุกคนโตๆ กันแล้ว และเราไม่มีสิทธิ์ พร้อมกับเริ่มถามตัวเองว่า ถึงเวลาแล้วสินะ ที่บางอย่างมันอาจจะหายกันไป

จนกระทั่งวันนึง เมื่อเดือนที่แล้ว ช่วงที่เพิ่งหายจากอาการป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ ตอนนั้นร่างกายยังไม่แข็งแรง เลยไปคริสตจักรแห่งหนึ่งแถวบ้าน (ถัดจากบ้านไป 4 ซอย ไปคนเดียว อยู่คนเดียว ไม่รู้จักใคร และไม่มีใครทัก 555) แม้ไม่รู้จักใครเลย แต่สัมผัสที่ได้รับจากที่นั่น มันดีมากๆ ขณะที่นมัสการ เต็มไปด้วยการทรงสถิต มีการเยียวยาเกิดขึ้น และพระเจ้าพูดกับเราตลอด คำเทศนาก็เข้มข้น มีการเจิม และแตะต้องใจ มีเรม่าห์ผ่านทั้งเพลง และพระคำโดยตลอด มากจนกระทั่งมีการ Surrender ได้อย่างจริงๆ ในบางเรื่องที่ต่อสู้อยู่

สิ่งที่ค้นพบก็คือ คริสตจักรที่ว่านี้ มีการฟื้นฟูมาถึงผู้คน ทุกอย่างมันแตะต้องใจ มันเต็มล้น ไปแล้วได้รับการเติม บอกได้เลยว่า ถ้าคนบาปมาก็ต้องรับเชื่อ … คริสตจักรที่ว่านี้ คนสูงอายุ คนยาก คนจน เยอะยิ่งกว่าโบสถ์ประจำเราซะอีก วัยรุ่นก็แทบไม่มี มีก็ไปอยู่ทีมนมัสการกันหมด แต่ก็ไม่วาย … ขณะที่เห็นพี่นักแต่งเพลงที่คุ้นเคยนำนมัสการอยู่ พระเจ้าได้ใส่ภาระใจที่จะกลับไปยืนหยัด และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด  เพราะพี่คนนั้นทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุด ไม่ว่าเวลาจะเริ่มแล้วไม่ค่อยมีคน คนมาสายครึ่งชั่วโมงเป็นส่วนใหญ่ แต่การรับใช้ของเขา ทำให้เราได้รับพระพร

วันนั้น ยังไม่หายป่วยดี แต่ด้วยการหนุนใจจากพระเจ้า จึงกลับไปที่กลุ่ม ณ คจ.ประจำ ตอนบ่าย ยืนหยัด แต่ก็ไม่มีกลุ่ม เพราะผู้คนเข้ากินข้าว G แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปหมด แต่วันนั้นก็มีความสุข เพราะมันมีบางอย่างที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ อาทิตย์ถัดมา ก็ยืนหยัด แต่ก็ร่องแร่ง สะเปะสะปะ กลายเป็นอะไรไป อย่างบอกไม่ถูก … แต่อย่างน้อยก็ขอบคุณพระเจ้า ที่จัดเตรียมพี่น้องบางคนไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนแท้ (ที่ขอเอ่ยชื่อ ซาฟัส) ที่คอยใช้วิญญาณแห่งการหนุนน้ำใจเพื่อนพี่น้องที่ปีกหัก (อยากให้เอ็งมาใช้ของประจำจริงๆ)

อาทิตย์ถัดมา ก็อยากจะยืนหยัดต่อไป แต่ทว่า … ปกติกลุ่มเริ่มบ่ายกว่าๆ นี่บ่าย 2 แล้ว แลดูทุกคนไม่สนใจ ไม่ได้อยากสามัคคีธรรม เกือบบ่าย 3 จึงเริ่ม (เริ่มคิด แล้วมายืนหยัดรออะไรอยู่คนเดียว ราว 3 ชั่วโมง ไปหาหนังสือในร้านตามห้างอ่านดีกว่ามั๊ยหว่า??? เพราะสิ่งนี้มันเกิดขึ้นบ่อย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาหลายเดือน)

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าคิด เพราะคริสตจักรประจำที่ไป การฟื้นฟูยังมาไม่ถึง จิตใจผู้คนยังไม่ได้หิวกระหาย การยืนหยัด มาหลังๆ ก็คิดนะ ว่าทำไมเราถึงยืนหยัดคนเดียว (แม้ไม่ทุกครั้งก็ตาม) เราเข้มแข็งพอแล้วหรือที่จะไปอยู่จุดนั้น ฟื้นฟูสภาพจิตวิญญาณตัวเองดีกว่ามั๊ย ไปเติมให้เต็มก่อนดีกว่ามั๊ย จะได้รับใช้พระเจ้าอย่างมีความสุข? เราเคยคิดเสมอว่า ถ้าเวลาใครว่าคริสตจักรมันแย่ มันแห้งแล้ง ขาดความรัก เราจะเป็นคนที่ยืนอยู่ และจะอยู่เพื่อที่นั่น ตลอดไป

เรารักคริสตจักรที่เราเติบโตมา คริสตจักรที่ไปตั้งแต่เด็กๆ คริสตจักรที่คนในครอบครัวต่างก็ไปนะ แต่หลายปีผ่านไป ถ้าอยู่ในที่แห้งแล้งมากๆ มาตลอด เราก็เหนื่อยเป็น เหนื่อยใจ จนพาลเหนื่อยกาย เราอยากไปที่ที่เราได้รับพลัง และอยากมีคนยืนเคียงข้าง(บ้าง) เรายืนหยัด แต่ไม่มีใครร่วมด้วย เราก็ไม่รู้จะทำไปทำไม และตอนนี้ เราไม่อยากเสียเวลากับที่ๆ เราฝืดๆ ไม่ถึง ต้องเข็นแล้วเข็นอีก เพราะเวลานี้ ก็อยากเต็มล้นขึ้นมาจากความแห้งแล้ง จากที่แต่ก่อน ไม่เคยไม่พบพระเจ้าเวลาที่นมัสการ เดี๋ยวนี้ต่างได้ยินคำถามจากพี่น้องบ่อยๆ ว่าวันนี้ ใครนำนมัสการ???

หวังว่าอีกไม่นาน เราคงจะได้คำตอบเหล่านี้ที่เฝ้าถามตัวเอง
แต่วันนี้ สิ่งที่อยากมุ่งหวังที่สุด คือ ภารกิจหนึ่ง ที่ลาออกจากงาน และทิ้งทุกสิ่งมาเพื่อทำมัน
แม้ร่ำรวย ประสบความสำเร็จ ได้สิ่งของทั้งโลก แต่ถ้าภารกิจนี้ไม่เสร็จ ก็ตายตาไม่หลับ
แต่ถ้าภารกิจนี้เกิดผลแล้ว แม้ยังเป็นคนไม่มีอะไร แต่คงมีหัวใจที่บอกได้ว่า พร้อมแล้ว ถ้าพระองค์จะกลับมา Rapture ไปวันนี้

ราตรีสวัสดิ์ … ขอให้คืนนี้นอนหลับด้วยฝันดีเถิด
ฮาเลลูยา ชาโลม

Leave a comment »

Too late, so late, very late – ได้แต่เพียงจินตนาการ

ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นจินตนาการ ผ่านมุมมองของพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกใครว่าข้างบนโน้นจะเป็นเช่นไร …

ณ ประเทศแห่งหนึ่งแถบเอเชีย เต็มไปด้วยการไหว้วัตถุ สิ่งของที่มือมนุษย์ได้สร้างขึ้น เป็นประเทศที่เจริญมั่งคั่งด้านวัตถุถึงขีดสุด มีหุ่นยนต์เป็นเพื่อน และผู้ช่วย และในขณะเดียวกัน ด้านศีลธรรมก็พุ่งไปถึงขีดสุด แต่สุดๆ ในด้านที่ประเทศอื่นอาจจะไม่ได้ชื่นชม เช่น เป็นแหล่งรวมเรื่อง การพนัน ยาเสพติด เซ็กส์ และธุรกิจผิดกฎหมาย จนคนรุ่นต่อมาไม่รู้สึกฟ้องผิด และชินชาเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ นักการเมือง กอบโกย นักกฎหมาย ว่าความให้คนผิดเป็นถูกเพื่อเงินระดับพันล้าน

วันหนึ่ง ขณะที่เกิดการเคลื่อนตัวของโลกตามธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ถึงกระแสลมในมหาสมุทรได้ ความกดอากาศต่ำปริมาณมากก่อนให้เกิด พายุไซโคล ถล่มเมืองท่องเที่ยวของประเทศนี้ ผู้คนจำนวนนับแสนได้จากโลกนี้ไปอย่างกระทันหัน

ผู้คนมากมาย ต่างปรากฎตัวที่มุมประตูสวรรค์ ทูตสวรรค์องค์หนึ่ง ใส่ชุดขาวโพลน ยืนต้อนรับทุกคนที่กำลังจะผ่านประตู 2 บานเข้าไป
– บานแรก เต็มไปด้วยความอบอุ่น สันติสุข สีสันสวยงาม เป็นไอ
– บานสอง ดู ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งใหญ่ และน่าเกรงขราม เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจบางอย่าง

สวัสดีทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตนิรันดร์ … ข้าพเจ้าขอชี้แจงเรื่องประตู 2 บานนี้
บานที่ 1 สำหรับทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป และขณะที่ท่านอยู่ในโลก ท่านได้ยินเรื่องของพระเยซู ผู้รับโทษบาปแทนท่าน จึงกลับใจและขอติดตามคำสอนของพระองค์ตลอดไป ข้าพเจ้าขอประกาศว่า ผู้ที่ต้อนรับและเชื่อพระเยซู วิญญาณของท่านถูกปกคลุมไปด้วยพระโลหิต ที่ไม้กางเขน … ขอให้ท่านเดินเข้าไปประตูบานที่ 1

ประตูบานที่ 2 สำหรับทุกคนที่ไม่ได้ต้อนรับและเชื่อพระเยซู ห้องนี้เป็นห้องพิพากษา และย้อนเรื่องราวทุกอย่าง เมื่อครั้งท่านยังอยู่บนโลก หากใครเข้าผิดห้อง ท่านจะกระเด็นออกจากประตู เพราะประตูบานที่ 1 จะยอมรับคนที่ปกคลุมด้วยโลหิตพระเยซู และบานที่ 2 ก็ไม่ยอมรับคนที่สามารถเข้าประตู 1

วิศวกรผู้ค้นพบนวัตกรรมยิ่งใหญ่สมัยยังอยู่ในโลก คนหนึ่ง ถามทูตสวรรค์ว่า
ช้าก่อน … ตอนข้าพเจ้าอยู่ในโลก บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เอาเงินที่มี 500 ล้าน ครึ่งหนึ่ง ไปทำบุญตั้งมากมาย หวังว่าจะได้ไปใช้ตอนเกิดชาติหน้า ทำไมข้าต้องมาอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปเกิดก่อนล่ะ

ทูตสวรรค์พลันตอบว่า
ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความเป็นจริง จริงยิ่งกว่าบนโลก … องค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว มีฤทธิ์อำนาจประทานลมหายใจให้ท่าน เมื่อท่านจากโลกมาแล้ว ลมหายใจจะไม่กลับไปสู่ท่าน เพื่อใช้กายอย่างโลกอีก ตอนนี้พวกท่านเป็นวิญญาณ และจะมีบางคนกำลังจะเข้าไปรับกายใหม่ และมีชีวิตในสวรรค์ตลอดไป ข้างในไม่มีความทุกข์ น้ำตา และเสียงร้องไห้อีกต่อไป … ท่านเกิดและตายได้ครั้งเดียวเท่านั้น โอกาสบนโลกมีครั้งเดียว
มีพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว ที่มีฤทธิ์อำนาจให้ชีวิตแก่มนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงกำหนดทุกคนเข้าสู่การพิพากษา …

ถ้างั้น ข้าฯ ต้องการเข้าประตูที่เข้าไปในสวรรค์ ไม่ต้องถูกพิพากษา” วิศวกรพูด้วยความมั่นใจ

อันที่จริงแล้ว ประตูทั้งสองบาน ก็ต้องเจอกับการตัดสินครั้งยิ่งใหญ่ บานที่ 2 ผู้เข้าไปจะถูกตัดสินตาม สิ่งที่ถูกฝังไว้ในหัวใจ มนุษย์เรียกสิงนั้นว่ามโนธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เรื่องราวของมนุษย์จะถูกฉายต่อทุกคน ทั้งดีและชั่ว แต่ว่าบานแรกนั้น จะไม่ตัดสินเรื่องดี-ชั่ว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ จึงบังเกิดเป็นมนุษย์ และยอมรับการลงโทษบาปแทนพวกเขาแล้ว แต่จะตัดสินตามชีวิตของเขาที่มีต่อองค์พระเจ้า ว่าพวกเขาเชื่อฟังคำสอน และสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาให้เขาทำแค่ไหน แต่ละคนจะได้รับสัดส่วนที่แตกต่างกันไป”  วิศวกรคนนั้นอึ้งไป ไม่พอใจ และกลัวการพิพากษา

ถึงเวลาที่ท่านต้องเข้าประตูแล้ว ข้าขอตัวก่อน

ผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้าประตูบานที่ 1 และ 2 …

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Leave a comment »