Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

Breaking the Prison – ธุรกิจกับการแหกคุก

สารคดีการแหกคุก อัซคาบัน เอ้ย อาคาทาส นี่ ทำให้ได้ข้อคิดบางอย่างนะ

การทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีจุดเชื่อมโยงกับการแหกคุกที่รอดไปได้

ตรงไหน?

คนที่แหกคุกสำเร็จนี่ คิดอยู่ตลอดเวลา ถึงวิธีการและช่องทางต่างๆ นาๆ ที่จะออกไปหาอิสรภาพ … ในขณะที่พัศดีทำงานในเวลางานเท่านั้น
พวกเขา คิด แล้วก็คิด … หาความเป็นไปได้ ที่จะตัด แหกเจาะ ลอด ปีน มุด หาช่องทางที่เอาตัวเองออกไป หาผู้ช่วยร่วมแก๊งค์ หรือแม้กระทั่ง หาอุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาช่วย

ธุรกิจก็เหมือนกัน … จะประสบผลสำเร็จได้ ก็ต้องเชื่อก่อน ว่าจะทำมันได้ คิด คิด แล้วก็คิด จะทำวิธีไหนบ้าง? อย่างไร? หาคนช่วยสนับสนุน หาเครื่องมือต่างๆ จนกระทั่งถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

คิดใคร่ครวญ … อดทน แล้วจะถึงวันนั้น

Leave a comment »

The Midas Touch – ยังต้องการสิ่งที่ได้มาอยู่รึเปล่า?

Midas Touch กลายเป็นสำนวนอังกฤษคำนึงไปแล้ว หมายถึง การทำอะไรสำเร็จ การหาเงินเก่ง ฯลฯ อะไรในทางอย่างนี้ แต่คำว่า Midas จริงๆ มาจากตำนานกรีก มีอยู่ว่า…..

Golden BarsMidas ไมดาส เป็นกษัตริย์ที่มีชีวิตอยู่ในเมือง Phrygia ระหว่าง ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ไมดาสเป็นพระราชาที่ร่ำรวยมาก และมีทองคำมากกว่าใครๆ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เขาสะสมเหรียญทอง ทองแท่ง ไว้ห้องใต้ดินขนาดใหญ่ใต้มหาราชวัง และใช้เวลาแต่ละวันจัดการ และนับทรัพย์สมบัติที่มี

แต่ไม่ว่าจะมีทองคำสะสมมากแค่ไหนในห้อง ก็ยังไม่เพียงพอ กษัตริย์ไมดาสต้องการมากกว่าที่มีเสมอ และเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ฝันถึงวิธีที่จะทำให้มีทองคำมากขึ้นกว่าเดิม

Finger Touchตามตำนาน วันหนึ่ง มีผู้ใส่ชุดสีขาวปรากฎกับกษัตริย์ไมดาส และให้เขาขอสิ่งที่ปรารถนา กษัตริย์จึงรีบขอ “สัมผัสแห่งทองคำ” (Golden Touch) ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นทองคำเมื่อเขาแตะต้องสิ่งใดก็ตาม

เช้าวันต่อมา กษัตริย์ไมดาสตื่นขึ้นก็พบว่า ผ้าคลุมเตียงลินินธรรมดาๆ ถูกเปลี่ยนให้เป็นทองคำบริสุทธิ์ เขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ และกระโดดออกจากเตียง แล้วก็ถูกเสาเตียง เสาเตียงก็เปลี่ยนเป็นทองคำ “มันเป็นเรื่องจริงนี่” ไมดาสร้อง “โอ้ว ข้ามีสัมผัสแห่งทองคำ!”

Golden Rosesเขารีบออกจากวัง แตะที่กำแพง และเฟอร์นิเจอร์ตลอดทาง ทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นทองคำ ข้างนอกในสวนนั้น ไมดาสไปยังพุ่มไม้ ต้นแล้วต้นเล่า แตะกุหลาบ ดอกไม้ ยิ้มอย่างมีความสุขที่ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นทอง

นี่เป็นตอนที่คนส่วนใหญ่จำได้ หลายคนเหมือนจะหลงไหลกับไอเดียที่สามารถสร้างทองได้อย่างไม่จำกัด หรือเพียงแค่นิ้วสัมผัส เห็นได้ชัดว่าผู้คนคิดถึงสิ่งนี้ เมื่อมีการอ้างถึงคำว่า “Midas Touch” แต่จริงๆ แล้วตำนานของไมดาสยังไม่จบเพียงอยู่กับทุกคนอย่างมีความสุขตลอดกาลเท่านี้

ถ้าคุณได้สิ่งที่ต้องการแล้ว คุณยังต้องการสิ่งที่ได้มาอยู่หรือเปล่า?

Golden Appleในที่สุด เมื่อเหนื่อยจากความตื่นเต้นที่เห็นสิ่งต่างๆ มากมายเปลี่ยนเป็นทองเมื่อสัมผัส ไมดาสนั่งลงเพื่ออ่านหนังสือขณะรออาหารเช้า แต่หนังสือที่หยิบมาก็เปลี่ยนเป็นทองทันที และเมื่อจะกินอาหาร ช้อนอาหาร ขนมปัง ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นทองหมด แม้แต่น้ำในถ้วยยังเป็นทองคำ

พระราชาอุทานออกมา “ถ้าแม้แต่อาหารยังเป็นทอง แล้วข้าจะกินได้ยังไง?” เขาเริ่มกังวล จากนั้นลูกสาวของไมดาส ชื่อ โอรีเลีย (Aurelia) เข้ามาที่ห้อง ซึ่งลูกสาวคนนี้เป็นสิ่งที่เขารักพอๆ กับทองคำ โอรีเลียวิ่งเข้ามาหาพ่อ และยื่นมือมาโอบกอดพ่อและจุมพิตพ่อ ไมดาสตกใจมาก เมื่อลูกสาวเปลี่ยนไปอย่างประหลาด และเปลี่ยนจากเด็กผู้น่ารัก ร่าเริง เป็นรูปปั้นทองคำ

King Midasกษัตริย์ไมดาสครวญครางด้วยความปวดร้าว กับสิ่งน่าสยองที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า เขาได้รับสิ่งที่เขาขอแล้ว แต่ก็เริ่มตระหนักได้ว่า เขาไม่ได้ต้องการสิ่งที่ได้มาเลย แต่ตำนานก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีอีกตอน

ค้นพบความร่ำรวยที่แท้จริง

ทันใดนั้น ผู้ใส่ชุดขาวก็ปรากฎขึ้นอีกครั้งและถามว่า
โอ้ว พระราชาไมดาส เจ้าไม่ใช่คนที่มีความสุขที่สุดหรือ?
ไม่เลย” พระราชาร้อง “ข้าเป็นบุคคลที่น่าสมเพชที่สุดต่างหาก
อะไรนะ? เราไม่ได้ให้สิ่งที่เจ้าปรารถนาที่สุด คือสัมผัสแห่งทองหรอกหรือ?
ใช่ ท่านให้ข้า แต่มันเป็นคำสาปสำหรับข้าในเวลานี้” ไมดาสร้องไห้
ทุกสิ่งที่ข้ารักจริงๆ ตอนนี้ สูญสิ้นไปหมดแล้วสำหรับข้า
เจ้าหมายความว่าเจ้าต้องการเศษขนมปัง หรือน้ำ มากกว่าพรแห่งสัมผัสทองหรือ?
ใช่แล้ว…ข้าไม่ต้องการทองทั้งหลายในโลกนี้อีกแล้ว ถ้าเพียงแค่ลูกสาวของข้าฟื้นขึ้นมา
ตามตำนาน ผู้ใส่ชุดขาวบอกให้ไมดาสไปล้างตัวในน้ำพุ เพื่อจะล้างสัมผัสแห่งทองออกไป พระราชนำน้ำนั้นกลับมาด้วย เพื่อพรมบนลูกสาวของเขา และพรมบนสิ่งของต่างๆ ที่เขาเคยอยากให้เปลี่ยนจากเดิม

Sprinklingในที่สุดตำนานนี้ พระราชาไมดาสเลิกปรารถนาสัมผัสแห่งทองอย่างมีความสุข และเปรมปรีดิ์ในการได้ทุกอย่างคืนมา ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว อาหาร ความงามตามธรรมชาติ ไมดาสตระหนักว่า สิ่งทั้งหลายนี้ มีค่ามากมายยิ่งกว่าทองคำ

ความจริงก็คือ เราไม่ได้อยู่ในโลกของนิทาน ไม่มีสูตรวิเศษแห่งสัมผัสทองคำ เพื่อความสำเร็จมั่งคั่งทางการเงิน แต่ยังมีโอกาสให้แก่คนที่เต็มใจขยันและสัตย์ซื่อในงานที่เขาตั้งใจ มีหลักการฝ่ายวิญญาณบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง และพระพรที่พระเจ้ายกย่อง ตามที่ให้ไว้ในพระคำของพระองค์

Reference: The Book of “The Midas Touch” by Kenneth E. Hagin

2 Comments »

China: Hong Kong – Kawloon (V) – มองดูจีนปี 2011 วันที่ 5 (ฮ่องกง)

แพลนไว้ว่า วันนี้จะไปเที่ยว Disney Land ที่ฝั่งฮ่องกง (เพราะเริ่มเบื่อ ซิมซาจุ่ย และฝั่งเกาลูนแล้ว มาฮ่องกง 3 รอบ อยู่มันที่เดิมๆ ทำแบบเดิมๆ แต่ตรงย่าน Nathan ตัด Jordan)
แต่จากการใช้พลังงานมาอย่างโชกโชน 4 วัน ในต่างแดน วันที่ 5 จึงตื่นสายเป็นอย่างมากกกก ทั้งเราทั้งชะ ตื่นมามองนาฬิกาที่ 10 โมง แล้วยังอิดออด กว่าจะลุก ด้วยเมื่อยขาจากเมื่อวันก่อนๆ สะสม ทำให้ไป Check Out ออกจากโรงแรมด้วยเวลาเกือบเที่ยง น้านนน คุ้มค่าโรงแรมจริง อะไรจริง

เหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมงแล้ว ก็ยังอยากไปนะ แต่เราก็เดินหาของกิน วนเวียนไปมาละแวกที่อยู่ เลยลืมคิดถึง Disney Land Hong Kong และหน้าตาเหล่า Mickey Mouse และสหายทั้งหลายไปสนิท

เริ่มมื้อแรกด้วยข้าวมันไก่ที่ราคา 10 เท่าของเมืองไทย แต่ก็โอเคนะ รสชาดช้ายยด้าย แล้วก็เดินตะลุยชอปๆๆๆๆ เป็นบ้าเป็นหลัง อย่างไม่รู้ทิศทาง หลงก็อาศัยกางแผนที่เอา ดีว่าที่นี่ถนนเหมือน New York เป๊ะ ถนนอะไร ตัดอะไร แยกเท่าไหร่ คลำได้ไม่ยาก เงินที่แลกมาเองน้อยนิด หายไปประมาณ 3 พัน เหลือเงินไม่มาก แต่ก็ยังสนุกดี

ร้านเสื้อผ้าที่นี่ ข้างถนน ห้องแถวต่างๆ ก็ราคาเท่าในห้างเมืองไทย 2-3 พันอัพ ยิ่งร้านไหนแต่งสวยๆ น่าเดินนัก จับเสื้อขึ้นมา ล้วนแล้วเหยียบหมื่น (ไม่ใช่ยี่ห้อดังบ้านเรา) เราจึงเลือกชอปแบรนด์ฮ่องกงแทน เช่น BOSSINI, GIODANO, G2000 อย่างชะซื้อเสื้อโค้ท BOSS ตัวนึง 2 พันกว่า (ไม่ใช่ช่วงลดราคา) มาเห็นที่เมืองไทยตัวละ 6 พัน กางเกง GIO ของเราตกตัวละ 500 ที่เมืองไทยขาย 1,200 เวลามาเห็นที่เมืองไทย มันส์สะใจดี

ด้วยความที่ชอปอย่างไม่ได้วางแผน (เพราะกะไป Disney Land อย่างเดียว) ทำให้เดินสะเปะสะปะไปไกล ได้น้ำหอมมาประมาณ 10 ขวด เสื้อผ้าอีกนิดหน่อย แล้วก็สำนึกขึ้นได้ว่า เหลืออีก 15 นาทีจะได้เวลานัดหมาย ทำจะเดินกลับไปคงไม่ทัน เลยเรียก Taxi บอกไปแยก Jordan คนขับฟังไม่รู้เรื่อง ตายละ ลืมไปว่าชินกับการพูดอังกฤษที่ออกชื่อแบบสำเนียงไทย จอออ-แดนนน เลยต้องบอกใหม่ จอร์-แด้นนน เค้าถึงจะเข้าใจ ที่นึกขึ้นได้ เพราะก่อนหน้านี้ หลงทางหน้าร้านน้ำหอม แล้วถามทางไปถนน Nathan พนักงานร้านฟังเป็น Chatham ชี้ให้คนละทิศ หลงไปใหญ่

แท็กซี่พาขับอ้อม แล้วยังรถติดมากอีกอ่ะ พอถึงก็เกือบไม่ทัน แต่เฉียดจนชิน รอๆๆ ขึ้นเครื่อง กลับบ้าน นานอยู่

อ้อ ยังมีอีกเรื่องฮาๆ อีกอย่าง ชะกะเราได้นั่งริมหน้าต่างเครื่องบินด้วยกันละคราวนี้ ตอนกินข้าวการบินไทย เราขอไวน์ ชะขอเหล้าอะไรซักอย่างสีฟ้าๆ ผู้ชายที่นั่ง 3 ขอ Pepsi มองหน้า 2 สาวอย่างงงๆ เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์แรงมาก เท่านั้นยังไม่พอ หัวหน้าชะฝากซื้อเหล้าสีๆ สวยๆ ไปแต่งบ้าน ปกติมันขนได้คนละขวดต่อ 1 passport ชะซื้อ 4 หรือ 6 ขวดจำไม่ได้ ฝากเพื่อนร่วมทัวร์ถือคนละขวด ฝากเราถือ 1 ขวด ตอนรูดการ์ด ผู้ชายคนดังกล่าวยืนต่อแถวซื้อขนม เห็นสาวๆ ถือเหล้าคนละขวด ทำหน้าเก๊กซิม (คงคิดในใจว่า กูเป็นผู้ชายยังไม่กินเลย ไอ้พวกผู้หญิงนี่ขี้เหล้าน่าดู เฮียในทัวร์ก็ยังแซวแบบนี้) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เหตุการณ์บางอย่าง ทำให้เราเสียลุคต่อบางคนได้ชั่วขณะ 555

5 วันที่ผ่านไป กลับบ้านในภาวะน้ำล้อมกรุงเทพมหานครรอบด้าน เหนื่อยแต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง ทีแรกคิดว่าค่าทัวร์ฟรีๆ หลายหมื่นต่อหัวนั้น อยู่ดีๆ กลายเป็นความโปรดปรานต่อเพื่อนคนไหนซักคน ที่ไปแทนพี่สาว ที่พระเจ้าจะเลือกให้ไปด้วย แต่เรากลับได้พบว่า เราต่างหาก ที่พระเจ้าโปรดปรานมากกกก

เพราะพระเจ้าเลือกคนได้ถูกกับงานและเวลาจริงๆ ขอบคุณเพื่อนชะ ที่เป็นเพื่อนร่วมทริปที่ดี ไปด้วยแล้วสบายใจมาก ชะเป็นคนไม่ขี้บ่น ใจดี มีน้ำใจ ไปไหนไม่ขัด และไม่มีปัญหาเรื่องเงิน เอาเป็นว่าดีทุกอย่าง และขอบคุณพระเจ้า ที่ก่อนไป อธิษฐานขอให้เจอแต่คนดีๆ (เพราะพักนี้หนัก เหนื่อย กับคนมามาก) จบทริป ก็รู้สึกได้ว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานและรักเราจริงๆ ^______^ Hallelujah!!!

Leave a comment »

China: Hong Kong – Kawloon (IV) – มองดูจีนปี 2011 วันที่ 4 (ฮ่องกง)

เดินทางด้วย Ferry ที่นานที่สุดในชีวิต 2 ชั่วโมงกว่า กว่าจะถึงฮ่องกงได้ ทำเอาเพื่อนชะเมาเรือตอนรอเข้าห้องน้ำซะแทบไปต่อไม่ไหว

พอมาถึงฮ่องกง ด้วยความที่โรงแรมที่พัก ยังไม่ถูก Check Out ทัวร์จะรับผิดชอบด้วยการพาไปไหว้พระชื่อดัง เรารีบขอตัวเป็นคนแรกที่จะขอชอปปิ้งตามรายการเดิมด้วยตัวเอง เค้าเลยพาไปหม่ำอาหารกลางวันแบบแต้จิ๋วก่อน แลกกับติ่มซำพรุ่งนี้เช้า รู้สึกดีมั่กๆ เพราะไม่ค่อยชอบกินติ่มซำ แถมตั้งแต่กินมา มื้อนี้อร่อยสุดแล้ว รสชาดเหมือนแม่ทำให้กิน 555

หลังจากเข้าโรงแรมซักพัก เพื่อนชะอยากเล่นเนท เราเลยลองเข้าดู ปรากฎว่าให้เสียเงิน เลยโทรไปถาม Reception ว่าจริงมั๊ย ปรากฎว่าชั่วโมงละแพงมากอ่ะ แล้วก็เสียเวลาหาเงินฮ่องกงที่หายไปซักพัก หาไม่เจอ เลยออกไปชอปปิ้งแบบหงิดๆ เล็กน้อย ดีที่พกแผนที่มา เพราะเราเดินหลงซ้าย หลงขวา ไม่รู้ทิศ กันตลอด แถม Galaxy Tab 10.1 ที่พกมา ไม่เป็นประโยชน์ เพราะไม่มีเนทใช้ และไม่ได้โหลดแผนที่มาล่วงหน้า

ตอนแรกก็เดินเล่นๆ ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย แต่ต่อมา ชะอยากได้กล้องไม่เกินห้าพันบาท เข้าร้านแถวๆ Tsim Sha Tsui ไปๆ มาๆ เจอเชียร์ เลยซื้อเกินงบไป แต่ราคาไม่น่าจะแพงมาก เพราะเราถาม Canon 600D ที่เมืองไทยประมาณ 3 หมื่น แต่ฮ่องกงขายที่ 1 หมื่น 8 พันบาท และของหลายๆ อย่างถูกกว่าเมืองไทย (เว้นบางอย่าง) โดยเฉพาะแบรนด์ของฮ่องกง พวก Bossini, Giordano เราเคยซื้อประมาณ 5-6 ร้อยบาทไทย แต่เมืองไทยขายแบบเดียวกันที่ 3 พันกว่าบาท!

ชะชวนนั่ง Subway ไปลง Mong Kok เพื่อเดินเล่น Ladies Market แต่ว่าตอนออกไปเจอโซน Electronic/IT ยาวเป็นถนนสุดลูกหูลูกตา ถัดมาก็เป็นถนนรองเท้าดังๆ สวยๆ ราคาถูกกว่าเมืองไทย 40% ได้ แต่เราจะเดิน Lady Lady กัน เลยถามหาตลาดนี้ แล้วก็เดินเข้าไป แต่เราเฉยๆ เพราะของมันบ้านๆ แต่ราคาไม่บ้าน แล้วก็ดูเหมือนของหน้ารามฯ เลยเดินกันอีกซักพัก แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับ Jordan ซึ่งเป็นสถานีใต้โรงแรม Prudential Hotel ที่เราพักกัน

กลับมาพักขาซักพัก เพราะเมื่อยมากๆ ทั้งเราและชะ ก็หาเรื่องกลับออกไปเดินกันอีก กะไปกันไม่ไกล แต่สุดท้ายหลงไปย่านของกิน นี่เป็นครั้งที่ 3 ที่มาฮ่องกง และไม่มีครั้งไหนที่ไม่เจอคนไทย คราวนี้ กลับเจอหนัก ทุกซอก ทุกมุม ชนิดหนีไม่พ้น แต่เป็นเมืองที่ร้านค้าไม่สิ้นสุด ไม่รู้จุดจบของซอยอยู่ตรงไหน และเราให้นิยามกันว่า เป็นเมืองละลายทรัพย์ ทั้งน้ำหอมเอย เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า ทุกอย่างมันถูกกว่าของไทยเห็นๆ อย่างเพื่อนทัวร์เดียวกัน ไปซื้อกีต้าร์ราคา 9 หมื่น เขาบอกว่า ปกติที่เมืองไทย ขายอยู่แสนสาม โอ้โห ทำไมบ้านเราเก็บภาษีแพงมากเลย

เอาเป็นว่า ตอนกลับโรงแรมอีกรอบ แทบจะคลานกลับเลย เดินจนเมื่อยมาก รองเท้าเซินเจิ้นมันไม่มีส้นนุ่มๆ ให้เดินสบาย จนข้อเท้าแข็งเลย กางแผนที่ดู หลงไปไกลมาก ดีว่ากลับถึงโรงแรมปลอดภัย อาบน้ำนอน หลับไม่รู้เรื่อง

พรุ่งนี้ อยากไปฝั่งฮ่องกง เบื่อฝั่งเกาลูนแล้ว หวังว่าจะได้ไปนะ

Leave a comment »

China: Canton Fair #110 (III) – มองดูจีนปี 2011 วันที่ 3 (กวางเจาแฟร์)

ตอนเช้า ทัวร์บังคับผู้เดินทาง ให้ไปฟังการบรรยายสรรพคุณสมุนไพรจีน (ถ้าไม่ไป เอกสารเขียนว่าปรับ 500 หยวน) ถ้ามาเองไม่ต้องมาเสียเวลาตรงนี้ และตอนมากะทัวร์ครั้งแรก มีนักธุรกิจในทริปมากัน 30 คน ใครซื้อครบ 6 หมื่น แถมกระเป๋ากีฬาคนละใบ ปรากฎว่าคนถือกระเป๋ากลับบ้าน เกือบ 10 ใบ นอกนั้นไม่ถึงเป้า แต่ซื้อทุกคน ไทยขาดดุลจีนกันไปเพียบเลย

เราบอกชะล่วงหน้า วันแรกๆ ว่าไม่ต้องให้หมอตรวจ พอถึงเวลา เสมือนว่าเราไม่เคยบอก ชะยังมาชวนเราเข้าไปตรวจซะงั้น เราเลยไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง แล้วมานั่งฟังข้างๆ ชะ หมอจีนบอกว่าต้องซื้อยาเค้า 4 ขวด (2 หมื่นกว่าบาท) ถ้าตอนนี้ไม่กิน ภายหน้าไปจะมีปัญหาเรื่องโรค ชะมีเงินหยวนไม่พอ หันมาถามเราว่ามีให้ยืมมั๊ย เราดีใจมากที่บอกว่า ไม่มี แต่ชะดันเอาบัตรเครดิตไปให้เค้ารูด แล้วค่อยมานึกได้ทีหลังว่าไม่น่าเลย ยังดีว่ารูดไปขวดเดียว เฮ้อ … เสียเวลาเดินงานแฟร์ซะจริงๆ คุณทัวร์เนี่ยะ

GSAN's Woman Saleวันนี้เดินงานแฟร์แบบรีบๆ เพราะกลัวไม่ทัน กว่าจะเดิน 4 ตึกบนได้หมด เกือบหมดเวลา นี่ขนาดไม่ได้กินข้าวข้างล่างโรงอาหารนะ กินแซนวิชคนละอัน เดินไปกินไป (จำไม่ได้ว่ากี่เหรียญ แต่ประมาณอันละ 100 กว่าบาท) จากที่เมื่อวันก่อนลงไปจิ้มอาหารจีนกล่องมากิน (กล่องละ 100 กว่าเหมือนกัน) รสชาดมันๆ จืดๆ (แต่ชะกินหมด) และเกือบกินบุฟเฟ่ต์หัวละ 100 หยวนไปแล้ว แต่ชะก็รั้งไว้ 555 … และดีใจกะชะด้วย ที่แม้ชะจะมาเป็นเพื่อน แต่ก็ได้เจอบูทที่หัวหน้าชะฝากมาคุยงาน เกี่ยวกับจอสัมผัสสำหรับเขียนโปรแกรมให้ร้านอาหาร ซึ่งพนักงาน GSAN เป็นผู้หญิงจากเซี่ยงไฮ้ที่ Friendly มากๆ คนนึงเลย

เหลือเวลา ครึ่งชั่วโมง เชื่อมั๊ยว่ายังไม่ได้สินค้าประเภทนึงที่ตั้งใจมาหา วิ่งจากตึกต้นๆ ไปตึก 10 กว่าๆ ภายในเวลาเท่านั้น แต่ก็ได้มาเกือบ 10 เจ้า โดยที่ sale ก็งงๆ ว่าทำไมเรารีบขนาดนี้ ขอบคุณพระเจ้า ที่ไม่คว้าน้ำเหลว แถมได้ไอเดียตอนเช้า ว่าให้เขียน Requirement ไว้หลังนามบัตร พอแจกๆๆ เค้าก็รู้ว่าเราต้องการอะไร ไม่ต้องเสียเวลาคุยมาก จะได้ส่ง quotation มาตามที่บอกไว้เลย ฮาเลลูยา…

ที่วันนี้เวลาหมดเร็ว เพราะทัวร์เห็นแล้วว่าเมื่อวาน รอสาหัส เลยนัดบ่าย 3 ดีว่าได้งานครบ แล้วก็ไปซื้อของที่ อิเต๋อลู่ ตลาดขายส่ง ซึ่งน่าจะมาเป็นครั้งที่ 3 ถ้าจำไม่ผิด ของสารพัดสารเพ แต่มีเวลาให้ 1 ชั่วโมง หักลบเวลาเดินไป  เดินกลับจุดนัด เหลือครึ่งชั่วโมง อิฉัน ซื้อพวงกุญแจ ที่ห้อยโทรศัพท์น่ารักๆ ไปเป็นของฝากเพื่อนพี่น้อง ส่วนชะซื้อกระจกลายสาวจีน น่ารักๆ กลับไปฝากแม่และฝาแฝด

Shopping in Guangzhouอยากมาอยู่กว่างโจวซักเดือน จะได้มีเวลาเดินอีเต๋อลู่แบบเต็มวันซ้ากกที มาทีไหร มีเวลาแค่นี้แหละ แล้วจะซื้ออะไรได้ ทั้งที่มีตั้งหลายพันอย่าง อยากได้ผ้าพันคอ แว่นตา นาฬิกา ที่ว่ามา ไม่ได้ซื้อเลย ซื้อที่ห้องของเราและกระจกชะ+เวลาเข้าห้องน้ำ หมดๆๆ เวลา ไปรอกันหน้าร้านขายร่มหัวมุมถนน ปรากฎว่ารอเฮียคนนึงซื้อยกโหลเป็นชั่วโมง แต่แกก็ได้ของถูกจริง บ้านเราขายอันละ 200 เฮียแกได้อันละ 8 หยวน x 12 อัน สุดยอด

เสร็จการรอคอย ก็นั่งรถไปกินข้าวเย็น วันนี้ ทัวร์เอา Lobster ที่เป็นจุดขายมาให้ลูกทัวร์ตื่นเต้น แต่กินกันไม่หมด เพราะเลี่ยนมาสตาร์ดกะเส้นที่ปนเข้ามาด้วยดิ๊ จากนั้น ก็พาไปพักที่โรงแรม King’s Land (ถ้าจำไม่ผิด) ด้วยความที่ชะอยากชอปปิ้ง เพราะต้องซื้อของจำเป็น เราต้องรีบออกจากห้องน้ำไปด้วย เพราะน้องนายกะน้องนัน พี่น้องสองหนุ่มสาวรออยู่ข้างล่างแล้ว ปรากฎว่าเดินกันไป น่าจะ 7 กิโลเมตรได้นะ เหมือนโลตัสเลย แต่จำชื่อไม่ได้ มีของแปลกๆ ที่ไม่มีในไทยเพียบ ตื่นเต้นๆๆๆ ชอปโน่น ชอปนี่ มันส์กันหย่ายย เอาเป็นว่าสนุกมาก แต่ตอนกลับ ไม่หนุกเท่าไหร่ เพราะโบกแท็กซี่ผิดฝั่ง กลัวกลับกันไม่ถูก เลยเดินกลับเช่นเคย เมื่อยยคอดๆ แต่เหนื่อยดี จะได้หลับสบายๆ

พรุ่งนี้ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ไปฮ่องกงซะแล้ว ทำไงดี เงินหยวนเหลือเยอะเลย จะไม่มีที่ใช้ซะแล้ว

Leave a comment »

China: Shenzhen (I) – มองดูจีนปี 2011 วันที่ 1 (เซินเจิ้น)

ปีที่แล้ว กลับมาจากจีน กะว่าจะเขียนเรื่องราวจีนๆ ในมุมมองคนไทย เว้นที่ Blog ไว้ ก็ไม่มีเวลากลับมาเขียน ปีนี้ขอชดเชยแล้วกัน

ครั้งนี้ที่ไปเมืองจีน ก็ไปดูงานแฟร์เช่นเดิม เนื่องจาก Supplier ราว 20-30 เจ้า ที่ติดต่ออยู่ ขึ้นราคาบ้าง ดีไซน์เดิมๆ ไม่แปลกใหม่บ้าง โดยโรงงานที่เมืองจีน มักใช้ข้ออ้างว่า ดอลล่าร์อ่อนบ้าง ค่าแรงขึ้นบ้าง แต่จริงๆ ขึ้นราคากันแทบทุกเดือน จนต่อไป ของจีนจะยังขึ้นชื่อว่าถูกที่สุดในโลกได้อยู่รึเปล่า? … นอกจากดูสินค้าแล้ว ยังมีโรงงานหนึ่ง ที่สั่งไมโครเวฟ แต่ไม่ยอมร่วมมือส่งเอกสาร คู่มือแผงวงจรมาซักที ทำให้ไม่สามารถรับ มอก. แล้วนำเข้ามาขายไม่ได้ซักที ต้องไปคุยให้ได้

การจองโรงแรมเอง เคยเป็นเรื่องยุ่งยากไม่รู้จบ จนปัจจุบัน พึ่งบริษัททัวร์ และจองตามโปรแกรมที่เขาจัดไว้ ถ้าเลือกได้ อยากไปเฟส 2-3 แต่ด้วยสินค้าที่สั่ง ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ อยู่เฟส 1 จึงต้องจองอย่างกะทันหัน มีตัวเลือกไม่มากนัก … พอวันจะเดินทาง พี่สาวที่ต้องไปด้วย ก็กังวลเรื่องน้ำท่วมโกดังสินค้า+ต้องออกบูธกับ HomePro บริษัททัวร์ก็ไม่(ยอม)เลื่อนเฟส หรือคืนเงินใดๆ จะไปคนเดียวก็ได้ แต่(แอบ)เสียดายเงิน ต้องหาคนไปด้วย และแฟกซ์หน้าพาสปอร์ตภายในวันนั้น ซึ่งเหลือ 3 ชั่วโมง เราโทรหาคนที่คาดว่าจะไปได้ ราว 10 คน หลายคนติดเรื่องไม่เคยทำพาสปอร์ตบ้าง หมดอายุบ้าง หลายคนอยากไป จะไป สุดท้ายลังเล จนอ้อนวอนขอร้อง แต่ก็ไม่เป็นผล เลยบอกพระเจ้าว่าขอพระองค์จัดเตรียมเพื่อนไป 1 คน ขอเป็นคนที่ไปด้วยแล้วราบรื่น จนในที่สุด ได้เพื่อนชะมาอย่างหวุดหวิด ซึ่งในทีแรกก็สงสัย ว่าทำไมพระเจ้าถึงให้สุดท้ายแล้ว เป็นชะ

วันก่อน จะไปแลกเงิน SuperRich เพราะประหยัดกว่าแลกหน้าสนามบินมาก แต่เดินทางไม่สะดวก ฝนก็ดันตก เส้นทางก็ถูกยกเลิก เพราะเรื่องน้ำท่วม ก็แบบ พระเจ้า ทำไมลูกไปไม่ทัน เสียดายจัง ปรากฎว่า ก่อนเดินทาง อยู่ๆ พี่เอาเงินหยวนมาให้อย่างเยอะ เยอะกว่าที่เราจะแลกอีก เลยขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว ไม่ต้องลำบากตากฝนออกไป

The Tram

ในโปรแกรมตอนซื้อไม่มีระบุ ว่าวันแรกมีโปรแกรมอะไรบ้าง นึกว่าใช้เวลาเดินทางทั้งวัน แต่นั่ง Ferry ข้ามจาก Hong Kong ไปถึง Shenzhen ตั้งแต่บ่ายๆ (เล่นนัดกัน 6 โมงเช้าที่สนามบินนิ) เค้าพาไป Cultural Village หรือหมู่บ้านวัฒนธรรมจีน ตอนกลางคืนดูโชว์ Splendid China … ชอบหมู่บ้านนะ มันดูบ้านๆ จีนๆ และใหญ่ดี ส่วนโชว์ แสงสีเสียง อลังการจริง แต่น่าเบื่อ เพราะมีแต่เรื่องราวของเทพโน้น เจ้าองค์ต่างๆ เป็นส่วนใหญ่

หลังจากดูโชว์เสร็จ เค้าก็พาไปกินข้าวภัตตาคาร ด๊าาานนน เป็นร้านเดิม ที่เดี๊ยนนจำได้ว่าเคยมา เอ…คราวก่อนพาเราเฉียดเซินเจิ้นหรอเนี่ย ผลไม้ต้องเป็นแตงโม น่านน ก็ยังแตงโมเช่นเดิม ไม่เคยเปลี่ยน มื้อแรก นักธุรกิจในทริปทั้งหลาย ยังไม่คุ้นกัน ทำให้อาหารมื้อนี้ ไม่ออกอรรถรสเท่าที่ควร เพราะต่างคนต่างเขิน ไม่กล้ากินแบบอยู่กะเพื่อนฝูงเราเอง … ลืมบอก ชะกะเรากินก๋วยเตี๋ยวไปนิดเนิงก่อนดูโชว์แล้ว ชามละแพงมากอ่ะ 40 หยวนได้ ถ้าจำไม่ผิด แต่เราก็ยังกินได้อีกนิดหน่อย ตามประสาคนชอบโต๊ะจีน 555

เมื่ออิ่ม ก็นั่งรถไปโรงแรม ซึ่งอยู่เยื้องๆ กับ Lo Wu (หล่อหวู่) แหล่งชอปปิ้งชื่อดัง ที่ได้ยินกิตติศัพท์ (ด้านการก็อปปี้) มานานแล้ว และก็อยากมาดู ว่ามันเป็นยังไง แต่ตอนที่ไปเดิน ก็ค่อนข้างดึกแล้ว เรียกว่ามีเวลา ชั่วโมงเดียวก่อนห้างปิด … แต่ก่อนไปเดินหล่อหวู่ ไกด์ย้ำแล้วย้ำอีก ว่าให้ระวังผู้ไม่ประสงค์ดี ขอทาน คนขายของแบบให้ดูรูป แบงค์ปลอม ฯลฯ มาเมืองจีนนับครั้งไม่ถ้วน ก็คิดว่ารู้อยู่แล้ว แต่พอไปเดินจริงๆ สัมผัสได้เลย ว่าที่นี่ ไม่เหมือนเมืองอื่นๆ ที่เคยไป ถึงขนาดเพื่อนชะมองว่าเมืองนี้ไม่น่าอยู่ มีแต่คนหลอกลวงไปซะงั้น

เนื่องจากรองเท้าส้นสูง ที่เตรียมมาเฉิดฉาย 😀 ใส่ตลอดทริป ดันขาดก่อนโหลดกระเป๋า ต้องใส่รองเท้าผู้ชายคู่ใหญ่ ซึ่งเป็นของพี่ไกด์ ตอนอยู่หมู่บ้านวัฒนธรรมซื้อแตะไปคู่นึงแล้ว มาหล่อหวู่ก็กะซื้อรองเท้าแคชชู ให้มันสุภาพเดินงานหน่อย เลยหมดเวลา 20 นาทีไปกับ การเลือก+รอรองเท้า (รอไปเปลี่ยนไซส์ 37 ตั้งนาน กลับมา ดูรู้เลยว่าสลับสติกเกอร์ 37 มาให้ แต่ไซส์เท่าเดิม เฮ้อ…) อีก 15 นาที กับการหาห้องน้ำในห้าง 555

และก่อนห้างปิด 25 นาที ชะก็อยากซื้อกล้องซักอัน ทั้งที่รู้อยู่แล้ว ว่ามันเป็นของปลอมหมด ด้วยความที่ชะใสซื่อมาก คนขายเปิดราคามาที่ 6 พันหยวน ก็เชื่อซะงั้น คนขายบอกเป็นรุ่นล่าสุด และถูกกว่าฮ่องกงอีก (เราคิดในใจ ว่ามันโม้เก่งเหลือเกิน) เลยบอกชะว่าให้เดินออกมา ถ้าไม่ได้ต่ำกว่า 200 หยวน แล้วก็โดนตาม กลับไปให้ราคาที่เราพอใจ ชะลังเลๆ ไม่กล้า แล้วก็กดไป 250 หยวน พ่อค้ายังแกล้งทำเป็น โอ๊ยย ต่อมาได้ยังไง ขายไม่ได้ สุดท้ายจูงมือชะออกจากร้าน พ่อค้าตามมาโอเค ให้ที่ 250 (แอบเซ็งในใจ ว่าน่าจะกดไปซัก 100-150 หยวน)

ด้วยความที่เราลืมเอามือถือออกจากโรงแรม เพราะชาร์จไฟอยู่ เลยต้องใช้กล้อง Brand New ใหม่ถอดด้ามของชะใช้ไปพลางๆ เดินพ้นตึกไม่เท่าไหร่ เพิ่งรู้ว่า แสงแฟลชมันแทบจะไม่ออก แถมเวลาดูรูป ยังยากลำบากเสียอีก ดีว่าเงินพันบาท ยังสามารถซื้อกล้องกิ๊กก๊อกที่เล่น VDO+MP3 เก็บไฟล์ได้บ้าง แต่เราก็ไม่มีกล้องที่เก็บรูปได้จริงๆ ระหว่างที่เรา 2 คนเดินไปหาอะไรกินในซอกซอยข้างโรงแรม

เราเจอร้านปิ้งย่าง คล้ายๆ เมื่อครั้งที่เคยกิน ณ หังโจว แต่ที่นี่ราคาถูกกว่ามาก ผักย่าง ตกไม้ละหยวนเอง ต่างคน ต่างซื้อของกินกลับโรงแรมมากมาย ทั้งก๋วยเตี๋ยวผัด 2 กล่อง 6 หยวน และ 10 หยวน สิ่งที่ค้นพบว่าอร่อยบนเตาย่าง คือ ซอสบางอย่าง ที่ทำให้แผ่นไข่ และไก่ย่าง หอมหวล ชวนอร่อย เลยทำให้ซื้ออีกเยอะแยะเลย สุดท้ายกินกันไม่หมด เพราะยังมีชาไข่มุก 8 หยวน คนละถ้วย 555 ก่อนนอนวันนี้ ช่างอิ่มจริงๆ

โอ๊ย เขียนมายาวขนาดนี้เลยหรอเนี่ยะ ยังไม่เข้าเรื่องธุรกิจเลย งั้นตัดไว้เป็นวันพรุ่งนี้อีกวันละกันนะ

Leave a comment »

Biz with Love – มันมาจากพลังรัก

ได้ดูรายการ SME ตีแตก อยู่หลายคลิปมากๆ
ตอนท้ายๆ จะค่อนข้างซึ้งทุกอัน … แต่ละอัน แทบจะเป็นที่มาเหตุผล ที่ทำให้ธุรกิจนั้นๆ ประสบความสำเร็จ

ล่าสุด เพิ่งได้ดู อันที่เป็น Fast Techno ถึงแม้เราจะไม่ได้เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยเหมือนเจ๊เชง
แต่เราสัมผัสได้ว่า ธุรกิจของท่านนี้ มีแรงบันดาลใจมาจากความรัก ซึ่งไม่ได้หมายถึงตัวสินค้า
แต่เป็นความรัก ความผูกพันของคนในครอบครัว ท่านเคยอยากตายเพราะสามีทิ้ง
และต้องมีหนี้สิน 129 ล้านบาท ซึ่งถ้าใจไม่อึด ไม่คิดจะอยู่เพื่อลูกในวันนั้น คงไม่มีวันนี้
แม้ธุรกิจนี้ กรรมการจะพูดถึงจุดอ่อนมากมาย แต่ก็สามารถใช้หนี้มากมายไปหมดแล้วได้
รวมทั้งทุกวันนี้ ยังมีสินค้าที่ขายดี ยอดฮิต ในไทย และยังส่งออกไปต่างประเทศได้เรื่อยๆ

ไม่เพียงแต่ตอนนี้เท่านั้น เราสังเกตุว่าทุกอันที่ประสบความสำเร็จมากๆ
ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำเพื่อปากท้องตัวเอง แต่เป็นธุรกิจที่ทำเพราะความรัก รักลูก รักแม่ รักครอบครัว

คุณไพโรจน์ ขายของเก่า เคยต้องเก็บเศษขนมปังที่ตกพื้นมาแบ่งกับหลานกิน
แต่ทุกวันนี้มีรายได้เดือนละล้าน จากการขายของเก่า ที่เขาชอบเป็นการส่วนตัวด้วย

ก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม๊ง ที่รุ่นลูกกอบกู้กิจการของพ่อแม่ ที่เคยล้มละลาย และสู้ชีวิตด้วย Social Network

ส่วนคลิปที่เราชอบที่สุด คือ The Remaker เพราะเราเป็นคนชอบการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม
งานของเขาขายไอเดีย และของเหลือใช้ที่ Recycle ไม่ได้ จนได้รางวัลระดับโลก
แม้ตอนท้าย คลิปนี้ จะซึ้งไม่เท่าอันอื่น แต่ก็ยังสัมผัสแรงใจของครอบครัว
ไม่ว่าจะเป็นจากภรรยา ลูกๆ ของเขา และจากคุณแม่ ซึ่งตอนแรกแม่ไม่เห็นด้วย
และไม่แน่ใจ ว่าลูกชายลาออกจากงานประจำที่มั่นคง แล้วจะไปได้ดีหรือไม่???
แต่สุดท้าย ก็เพราะ กำลังใจ ความรัก ของคุณแม่นั่นแหละ ที่ทำให้เขามายืนในจุดนี้ได้ และเราก็ชื่นชมผลงานให้เป็นอันดับ 1

P.S. // ไม่ได้เขียน Blog มาราว 2-3 เดือน เนื่องจาก WordPress ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าตอนเป็น Windows Live
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีเวลาเลย เพราะหมดไปกับสิ่งสาระบ้าง ไม่สาระบ้าง เวลาที่นึกอะไร อยากเขียน จึงไม่ได้เขียนตลอดมา

Leave a comment »