มายากลคือการโกหก โลกของนักมายากลก็เช่นเดียวกัน เพื่อนหรือคู่แข่ง ความหมายไม่แตกต่างกัน Borden (Christian Bale) ผู้ทะเยอทะยานกับความอยากรู้อยากลอง นำมาซึ่งความตายของนักแสดงสาว และการแก้แค้นของ Angier (Huge Jackman) ด้วยการเฝ้าช่วงชิงความลับสุดยอดของมายากล (Prestige) ของฝ่ายตรงข้าม การหักเหลี่ยมและการช่วงชิงความเป็นเลิศ บวกกับความแค้นในอดีต Angier ไม่สามารถรักใครได้อีก แม้แต่ Olivia (Scarlett Johansson) ที่รักเขาหมดใจ ก็ยังถูกใช้เป็นสายสืบ ให้โขมยความลับฝ่ายตรงข้าม แต่ทว่าความลับของนักมายากลมีค่ายิ่งกว่าชีวิตคน กลสุดยอดแห่งการลวงคืออะไร? และใครจะเหนือกว่าใคร?
+/- : ความแค้นที่ไม่รู้ดับ นำมาซึ่งการสูญเสีย และการหักดิบที่ไม่มีวันจบสิ้น ชีวิตต่อชีวิต แต่ก็หวังว่าจะมีแค่ในหนังนะ เพราะดูๆ ไปมันก็ร้ายพอกันทั้ง 2 ฝ่าย คนนึงไม่แคร์ชีวิตคนอื่น กับอีกคนแคร์คนที่เคยรักมากไป แต่ก็นี่แหละ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้สนุกมากๆ มาแป๊กก็ตอน Electric Box ไม่ make sense เลย ว่าตกลงมันหนังมายากลหรือไสยศาสตร์(วิทยาศาสตร์โอเว่อร์)กันแน่
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของความรักล้วนๆ แต่เรื่องนี้นำเสนอเหตุการณ์ ที่ต่างคู่ ต่างสถานที่ ต่างมุมมอง ในช่วงเวลาก่อนคริสตมาส ไม่ว่าจะเป็นรักของประธานาธิบดี ของเพื่อนสนิทแอบรักแฟนเพื่อน หนุ่มสาวในออฟฟิศเดียวกัน คู่ของชายแก่แอบปันใจให้สาวรุ่นลูก หนุ่มอเมริกันกับสาวอังกฤษ ฯลฯ ดูแล้วก็น่ารักดี เพราะไม่ได้เป็นหนังรักฉาบฉวย แต่มีข้อคิดบางอย่างที่แฝงไว้
+/- : เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่นำเสนอความรักในหลายๆ แบบในเรื่องเดียว โดยรวมก็ดี ชอบคำพูดของผู้ชายคนนึงที่บอกว่า "For me, You are perfect" เสียดายที่คำนี้ไม่ใช่การขอแต่งงาน หากแต่เป็นคำของผู้ชายที่อกหัก แอบรักหญิงสาวที่ไม่กล้าบอก จนสายเกินไป และชอบอีกคู่นึง ที่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่ได้ลงเอยกับผู้ชายที่ตัวเองชอบ เพราะผู้หญิงคนนั้น เลือกจะแสดงความรักต่อพี่ชายที่ป่วยมากกว่า ก็ความรักจำกัดรูปแบบไม่ได้นิ่ … แต่ความรักในหนัง ก็ยังไม่ใช่สุดยอดแห่งความรัก เพราะรักแท้ เป็นความรักแบบอากาเป้ ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น
คำว่า "The Passion of The Christ" ใครอาจหมายถึง ความปรารถนาอันแรงกล้าในใจ ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้ได้ แต่สำหรับพระเยซูแล้ว มันหมายถึง "เกิดมาเพื่อสิ่งนี้" พระเยซูเกิดมาเพื่อถูกตรึงที่กางเขน ภาพยนตร์จึงนำเสนอเฉพาะ ชั่วโมงที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ โดยเริ่มจาก สวนเกทเสมนี ที่พระองค์ทุกข์ทรมาน แต่ก็ยอมเชื่อฟัง ทำตามพระทัยพระบิดา ยินยอมที่จะแบกกางเขน และถูกตรึงตาย โดยไม่ปริปากปฎิเสธ เพื่อที่มนุษย์จะได้รับการอภัยและคืนดีกับพระเจ้า ผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ แม้จะนำเสนอทุกอย่างไม่ได้ในช่วงเวลาของหนัง แต่ผู้สร้างไม่ได้ละเลยส่วนที่สำคัญ อย่างฉากมหาสนิท ขนมปัง น้ำองุ่น และคำสั่งที่ว่า "Love One Another"
+/- : ตอนที่หนังเรื่องนี้ออกมาครั้งแรก ดีใจมากมาย เพราะไม่ค่อยมีใครทำกัน แถมเป็นที่ฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นาๆ แม้จะนำเสนอแค่ช่วงเวลาสั้นๆ จากพระคัมภีร์ แต่เวอร์ชั่นนี้ตีแผ่ความทุกข์ทรมานของพระเยซู ได้ดีมากๆ ให้คนได้เห็นภาพว่า บาปของมนุษย์ ทำให้พระเยซูผู้ทรงรักโลก ต้องยอมทนเพื่อเรามากแค่ไหน แถมสมจริง ใช้ภาษาอาราบิก ไม่ยอมพูดอังกฤษกัน แต่รู้สึกอยู่บ้างว่า ออกแนวคาทอลิกไปนิด ที่เน้นนางมารีย์มากเกิน เหล่าสาวกดูเซอร์มั่กๆ แล้วหน้าตาของพระเยซู ช่างต่างกับจินตนาการคริสเตียนส่วนใหญ่ และอย่างบางช่วง ถ้าไม่ใช่คริสเตียน อาจดูไม่เข้าใจเท่าไหร่ เพราะไม่มีคำพูดใดๆ เช่น ตอนที่ ชาวยิวนำตัวหญิงโสเภณีมา จะเอาหินขว้างฐานทำบาป แต่พระเยซูกลับถามพวกเขา "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน" รวมทั้งพระคัมภีร์ไม่เคยบันทึกว่า หญิงโสเภณี คือนางมารีย์ มักดาลา ที่ตามพระองค์ถึงกางเขนจนมรณา + อะไรอีกหลายๆ อย่าง แต่โดยรวม ก็ประทับใจ ให้ 7/10 แต่ดูรอบสอง เอาไป 8 ดีกว่า
กำเนิดมนุษย์ค้างคาว Bruce Wayne (Christian Bale) จากเด็กน้อยลูกมหาเศรษฐีผู้กลัวค้างคาว พ่อแม่ของเขาถูกโจรข้างถนนยิงตาย ทำให้ชีวิตของ Bruce ตายด้านทางจิตใจ ภายนอกที่เหมือนจะเข้มแข็ง แต่ภายในเขาซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ เขาท่องไปในโลก และมีโอกาสฝึกฝนวิชาการต่อสู้แบบเอเชีย แต่ก็เลือกที่จะ ไม่ตัดสินชีวิตใครต่อใคร ด้วยการชี้ชะตา เมื่อเขากลับมายังคฤหาสถ์บ้านเกิด เขาค้นพบถ้ำค้างคาว และแปลงทรัพย์สินบริษัท มาใช้ในการช่วยเหลือประชาชน ในสิ่งที่ตำรวจไม่สามารถเข้าถึงได้ ภายใต้หน้ากากค้างคาวด้วย Concept ที่ว่า "It’s not who I am underneath, but what I *do* that defines me" Batman ค่อนข้าง Classic กว่า Spiderman, X-Men เพราะเขาไม่ได้ถูกค้างคาวกัด เขาไม่ได้มีเชื้อค้างคาว แต่…(ดูเอาเอง)
+ / – : ตอนดูรอบแรกเฉยๆ แต่พอรอบ 2 เริ่มได้แง่คิด(บ้าง)แฮะ ตอนที่ Bruce Wayne เข้า-ออกถ้ำค้างคาว เกิดความคิดขึ้นมาว่า เค้ารวยอยู่แล้ว เขาเลยสามารถทำตามอุดมการณ์ ที่อยากจะทำ ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ไม่เข้าใจเบื้องหลังหน้ากาก โดยไม่ต้องใช้ชีวิตทำงานเหมือนคนทั่วไป มีเสียงเข้ามาทันทีว่า "เรารวยกว่า Bruce Wayne อีก" … เมื่อคิดถึงคลังทรัพย์สมบัติของพระเจ้าเนี่ยะ มันยิ่งกว่าคนทั่วไปจริงๆ พระเจ้าสร้างโลก มีฤทธิ์อำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง ที่จะบันดาลให้เป็นไปได้ทุกอย่าง แล้วเราจะกลัวอะไรล่ะ จริงมะ
นานๆ ทีจะบอกได้ว่าหนัง Oscar ใช้ได้ ก็เรื่องนี้แหละ ที่ให้แง่คิด(สองคม) และใช้นักแสดง Hollywood อย่างเปลือง เป็นเรื่องราวของหลายๆ ชีวิต หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนละเรื่อง แต่มาผสานกันให้เกี่ยวข้องกันได้อย่างลงตัว (เหมือนที่ Babel พยายามเลียนแบบ) concept ของเรื่องคือ "You think you know who you are. You have no idea" เพราะคนเลวก็มีเหตุผลที่เลวและก็มีช่วงเวลาที่ทำดีได้ แต่คนที่คิดว่ามีอุดมการณ์ พยายามทำตัวเป็นคนดี ก็เผลอทำผิดร้ายแรงโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน … ชอบฉากที่เจ้าของร้านของชำเอาปืนมายิงเด็ก แล้วคุณพ่อก็ทำหน้าเหมือนชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว แต่จริงๆ บางฉากที่น่าเกลียด ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ทำให้ลดเกรดไปติดเรท R ซะงั้น
+ / – : หนังเหมือนให้แง่คิดดังที่กล่าวมา แต่เคยมีคำพูดของคริสเตียนคนนึงกล่าวว่า "ดูหนังเหมือนไม่มีอะไร แต่มันจะกลับมาทำร้ายตัวเราเวลาที่อ่อนแอ" ถามว่าจริงมั๊ย เจอกับตัวเองเลยแหละ มีอยู่วันนึงหลังจากดูเรื่องนี้ได้ไม่นาน มันเข้ามา shake จุดยืนของเราเหมือนคอนเซปหนัง ก็ต้องอย่าเผลอให้หนังมามีผลกับแง่คิดมากกว่าพระคำ
เด็กน้อยที่มี idea สร้างสรรค์โลกดีๆ โดยไม่มีใครสอน Trevor (Haley Joel Osment) เรียนอยู่ในโรงเรียนประถม และอาศัยอยู่กับคุณแม่ ที่ทำงานช่วงกลางคืน ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพัง และมีเพื่อนเป็นคนติดยาจรจัด Idea ของเขาคือ ถ้าทุกคนทำความดีจริงๆ กับคน 3 คน และให้ 3 คนนั้นไปทำต่ออีก 3 คนไปเรื่อยๆ โลกนี้จะเต็มไปด้วยสิ่งดีๆ เรื่องราวต่างๆ การดำเนินเรื่อง มีการผูกเหตุการณ์เข้ากันได้เป็นอย่างดี Trevor ให้คนจรจัดขี้ยาเข้ามาอยู่อาศัยในบ้าน กินข้าวด้วยกันอย่างไม่รังเกียจ โดยที่แม่ของเขาไม่รู้ และสุดท้าย แม้ว่าคนไม่ดีมาปลิดชีวิตเด็กน้อยเสีย แต่ idea ความดีที่เขาคิด กลับมีผลกระทบต่อสังคมต่อไป (ในหนังเท่านั้นอ่ะ อยากให้เป็นเรื่องจริง)
+ / – : อันที่จริง ไม่ค่อยชอบ Drama เลย เพราะเข้าโรงไปฟังแต่พูดๆๆ เสียดายตังค์แย่ แต่เรื่องนี้ประทับใจจริงๆ ว่า Sensitive อยู่แล้วนะ ดูตอนจบเรื่องนี้ ยิ่งร้องไห้เข้าไปใหญ่ แต่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจ้าเด็กอยากให้แม่รักกับคุณครูนักน้าา
Andy Dufresne (Tim Robbins) ชายหนุ่มอนาคตไกล กลับต้องถูกพิพากษาให้ต้องโทษในเรือนจำ ชื่อว่า Shawshank โดยที่เค้าก็ไม่รู้เลยว่าได้ฆ่าคนจริงๆ รึเปล่า เนื่องจากวันเกิดเหตุเมาหนัก เขาเจอกับเหตุการณ์หลากหลายภาพในเรือนจำ ทั้งการกลั่นแกล้ง ทำร้ายร่างกาย การหวังผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่ ฯลฯ ทำให้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดต้องพาให้เขาหลุดพ้นจากที่ชอว์แชงค์ (Warning: อยาก Spoil อ่ะ เพราะจริงๆ ใครก็เดาได้) ใครจะรู้ว่างานอดิเรก จากการที่เขามีค้อนอันกระจิ๋ว ที่ซ่อนไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล จะทำให้นักโทษคนนึงแหกคุกได้สำเร็จ แถมยังซ้อนแผนเอาคืนกับคนที่เคยรังแกได้อย่างแรง
+ / – : เรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า สุราไม่เคยทำให้ใครได้ดี มีแต่จะพินาศ! แต่ก็เพียงเล็กน้อย เพราะมีคำพูดที่ฟังดูยิ่งใหญ่นัก "There are places in this world that aren’t made out of stone. That there’s something inside… that they can’t get to, that they can’t touch. That’s yours." "What’re you talking about?" "HOPE" คือ ยังมีที่ไม่ได้ทำด้วยหินอย่างเรือนจำ ที่อยู่ข้างใน ไม่มีใครเอามันไปได้ นั่นคือ ความหวัง แอนดี้มีความหวังเสมอ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เกิดบทสรุปของเรื่องในตอนท้าย … นาย Norton ภายนอกทำตัวเคร่งศาสนา รักหนังสือไบเบิ้ลจัด แต่ที่แท้จริงแล้ว มันเป็นฉากบังหน้า และแม้แต่ที่ซ่อนตู้เซฟ ก็ยังเป็นของที่ภรรยาทำขึ้นจากที่โบสถ์ ตอนจบจึงได้ลงเอยสาสม
เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ Landon Carter (Shane West) ชายหนุ่มผู้หยิ่งยโส ไม่เคยแลสาวน้อย Jamie (Mandy Moore) ผู้น่ารัก ลูกสาวศิษยาภิบาล ที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จนวันหนึ่ง Landon ถูกลงวินัยให้ช่วยเหลือสังคมด้วยการไปเล่นละคร และเขาก็เริ่มปิ๊ง Jamie อย่างหัวปักหัวปำ สาวน้อยเชื่อมั่นใจตัว Landon ที่เหมือนจะไม่มีอะไรในชีวิต ว่าจะสามารถสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ อีกทั้งยังสอนให้เขารู้จักความรัก ความเชื่อ จนกระทั่งเขารู้ว่านางเอกเป็นลูคิเมีย และจะตายในไม่ช้า เขาจึงใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่เพื่อคนรักให้มากที่สุด … เรื่องนี้มีคำบางคำที่ดัดแปลงมาจากพระคัมภีร์ เช่น Faith can move a mountain -> Love can move a mountain, Holy Spirit is like the wind -> Love is like the wind, you cannot see it but you can feel it. นับว่าใกล้เคียงมาก
+ / – : ใครบอกว่านี่เป็นหนังคริสเตียน ขอเถียงหัวเด็ดเท้าขาดว่าไม่เห็นใช่เลย แค่พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับคริสเตียนบ้างในบางตอนของเรื่อง สงสัยว่า Jamie เกิดในยุคที่คริสตจักร ไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์/การรักษาโรค เธอถึงได้ตายเพราะมะเร็ง ทั้งที่เป็นลูก Pastor แต่ชอบนะ ตอนที่ Langdon เปิดไดอารี่คุณแม่ Jamie แล้วมีถ้อยคำว่า "Love suffers long and is kind ….." แต่ก็นั่นแหละ Langdon ไม่รู้อยู่ดีใช่มั๊ยว่ามันมาจากพระคำ 1 Corin 13
ชายหนุ่มผู้ขึ้นชื่อเรื่องรักไปทั่วเขตแดน ทำให้มีสาวๆ มากมายใฝ่ฝันที่จะได้พบเจอกับเขา คาสโนว่าบังเอิญได้รู้จักกับ Pucci (Jeremy Irons) สาวนักประดิษฐ์ผู้เก่งกาจอย่างชายชาตรี คาสโนว่าพยายามติดตามและสืบเสาะเรื่องราวเกี่ยวกับ Pucci จนกระทั่ง ยอมปลอมตัวเป็นพ่อค้าที่จะสู่ขอนางเอก ก่อนจะถูกจับได้พร้อมกับโทษประหารจากนักศาสนา
+/- : หนังมีหักมุมก่อนจบนิดๆ ทำให้ดูน่ารักทีเดียว แม้ต้นเรื่องจะมีฉากเกินงาม จากความเจ้าชู้ของคาสโนว่าก็ตามที ชอบตรงที่ เมื่อพบรักแท้กะนางเอกตัวจริง ความรักเป็นแนวหวานๆ ไม่หวือหวาเหมือนตอนยังกะล่อน แต่เสียดายที่คาสโนว่า น่าจะหน้าตาดีกว่า Heath Ledger เพราะพระเอกหนังเกย์อย่าง Brokeback ไม่น่าจะหว่านเสน่ห์สาวๆ ได้หัวปักหัวปำ
เมืองเศรษฐีแห่ง Blue Bay ใน South California ใครจะรู้ว่าภายใต้แผนการธรรมดาๆ จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ยิ่งขุดยิ่งเจอ อันที่จริงมันก็แค่คดีคุณครูพละ (Matt Dillon) พรากผู้เยาว์นักเรียนสาว (Denise Richards) ที่ตกเป็นคดีดังของเมือง แต่มันนำไปสู่การฆาตกรรมเพื่อนนักเรียนขี้ยาสุดเฮี้ยว (Neve Campbell) เลยต้องวุ่นวายทั้งทนาย ตำรวจ นักสืบ ชั้นศาล ฯลฯ ติดตามล่าหาหลักฐาน จะมีซักกี่คนที่อยู่เบื้องหลังแผนการฮุบเงินง่ายๆ นี้? แล้วคุณก็จะคิดไม่ถึง เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า
+/- : ชอบ Plot เรื่องของภาพยนตร์ และการหักมุมในแต่ละตอน จนกระทั่งสืบสาวราวเรื่องในตอนท้ายที่สุด ก็ยังถือว่าเหนือชั้นกว่าหนังหักมุมหลายๆ เรื่อง แต่บางฉากที่มันล่อแหลม อันตรายมากๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่ควรดู ถ้าไม่โจ่งแจ้งในบางเรื่อง จะได้รับการกล่าวขวัญมากกว่านี้
เพราะที่ผ่านมา เวลาพูดถึงหนังที่สามารถประกาศเรื่องราวพระเยซูได้ มีน้อยมากๆ อย่างของ Campus Crusade มันดูเก่าๆ เชยๆ มากแล้ว แม้ถ้อยคำในหนังจะมีฤทธิ์อำนาจก็ตามที อย่าง Passion of Christ, Ben-Hur, Left Behind ก็เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวของภาพยนตร์ในฝันที่อยากให้พี่น้องทุกท่านอธิษฐานเผื่อ ฝากรวมถึงหัวข้อจิตวิญญาณของผู้ร่วมงานในทีมฮอลลีวู้ด การแปลเป็นภาษาต่างๆ เพราะเคยดู series พวก Bible Collection ที่แปลเป็นภาษาไทย แปลได้แย่มากๆ แม้กระทั่งหนังดังๆ หลายๆ เรื่อง ที่มีเรื่องพระเจ้าหรือพระคำปะปน เราว่ามันสำคัญมากๆ เลยนะ แม้คนดูไม่รู้ว่ามันจะมีเรื่องพระเจ้า แต่ถ้าแปลดีๆ แล้ว แตะต้องสัมผัสใจคนให้พบความรักพระเจ้าได้ไม่ยากเลย เพราะสมัยนี้ ทุกคนรู้จักหนัง Hollywood ทุกคน บริโภควัฒนธรรม และแนวคิดจากหนังเหล่านี้กันเป็นล่ำเป็นสัน บางคนเดือนละครั้ง อาทิตย์ละครั้ง หรือบางคนแทบทุกวันเลยทีเดียว
เอาเป็นว่า สุดท้ายนี้ ขอฝากอธิษฐานเผื่อหัวข้อนี้เป็นประจำนะคะ พระองค์ทรงนำเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ ไม่เชื่อลองดูสักครั้งสิคะ
Chariots of Fire (1981) [7/10] เรื่องราวของนักวิ่งมาราธอน ระดับโอลิมปิก เค้าเกิดมาเพื่อวิ่ง และในการวิ่งของเขา เขาได้สัมผัสพระเจ้า
Pirate of Silicon Valley (1999) [7/10] คนทั่วโลกต่างประทับใจกับบิลล์ เกต ที่สร้างมหาวินโดวส์ให้ใช้ แต่ใครจะรู้บ้างว่า สตีฟ จ๊อบ ก็มีส่วนสำคัญยิ่งกว่า
Usual Suspects (1995) [5/10] เครียดไปเลยที่ใครๆ ก็ว่าเป็นหนังหักมุมเรื่องเยี่ยม ดูแล้วแทบไม่หักเลย ก็ Spacey ทำหน้าตาอย่างนั้น
Before Sunrise & Before Sunset (1995, 2004) [ 6/10 ] ถ้าไม่อยากรู้อะไร นอกจากฝรั่งเศสสวยแค่ไหน ก็จะมีแต่โรแมนติกแบบย้อนยุค
Red Dragon (2002) [7/10] หนังโหดก็จริง แต่เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า Edward Norton เล่นหนังเก่งมาก รวมทั้งดาราแม่เหล็กอย่าง Ralph Fiennes
V for Vendetta (2005) [7/10] เมื่อผู้ร้ายแห่ง The Matrix กลายมาเป็น Super Hero ภายใต้หน้ากากที่ชื่อ V ในภาคนี้
Great Raid (2005) [7.5/10] หนังค่อนข้างโหดตามแนวสงคราม แต่ดูแล้วรู้สึกได้มากกว่าสงคราม กับการช่วยตัวประกันอเมริกันในค่ายทหารญี่ปุ่น
Match Point (2006) [2/10] เรื่องนี้ดูนานแล้ว ตอนดูเสร็จรู้สึกว่าต้องสารภาพบาปอย่างแรง ก็พระองค์เตือนแล้วว่าอย่าดู
Little Miss Sunshine (2006) [3/10] เข้าใจคำว่ารางวัลออสการ์จริงๆ ทำเด็กแว่นให้แก่นแก้วเกินตัว แล้วบอกว่าเป็นหนังครอบครัว เซ็ง
Children of Man (2006) [6/10] ไม่รู้ว่าฮิตติดชาร์ท IMDB ได้อย่างไร กับภารกิจกู้โลก พิทักษ์เด็กชายแห่งอนาคตที่หลงเหลือ หนังเหมือนเกมส์ยิงๆ กันมากกว่า
Babel (2006) [6/10] หนังเหมือนจะดี แต่ดูแล้วก็เลียนแบบ Crash นี่หน่า ออกแนว Lost แต่ชอบตอนผู้หญิงใบ้ หูหนวก เดินผ่านวงดนตรี
MI 3 (2006) [8/10] ภารกิจของภาคนี้ มันส์มากๆ แถมมีคนเก่งๆ มาร่วมทีมมากขึ้น