Popsyz ::: This Blog is Now Yesterday.

Move from MSN space, daily update nothing

DVD Killer

พักเรื่องเครียดไว้ก่อนนะ กับภารกิจการกู้โลก เอ้ย กู้ข้อมูล ที่ยังไม่เสร็จสิ้น … ตอนนี้อยากจะบันเทิงกะเค้าบ้าง เลยอยากจะมาพูดถึง DVD ที่ดูๆ กันไปบ้าง ก็ว่าจะเอาเรื่องที่ชอบ หรือจะเอาเรื่องที่เพิ่งผ่านหูผ่านตามาลงดีนะ ก็ปนๆ กันไปละกัน นึกเรื่องไหนได้ก็ลงเลย แต่จะขอเล่าทั้งแง่ดีและลบของหนังทั้งสองด้าน
My IMDB Rate: 8.5/10 The Prestige (2006) "Are you watching closely?"
มายากลคือการโกหก โลกของนักมายากลก็เช่นเดียวกัน เพื่อนหรือคู่แข่ง ความหมายไม่แตกต่างกัน Borden (Christian Bale) ผู้ทะเยอทะยานกับความอยากรู้อยากลอง นำมาซึ่งความตายของนักแสดงสาว และการแก้แค้นของ Angier (Huge Jackman) ด้วยการเฝ้าช่วงชิงความลับสุดยอดของมายากล (Prestige) ของฝ่ายตรงข้าม การหักเหลี่ยมและการช่วงชิงความเป็นเลิศ บวกกับความแค้นในอดีต Angier ไม่สามารถรักใครได้อีก แม้แต่ Olivia (Scarlett Johansson) ที่รักเขาหมดใจ ก็ยังถูกใช้เป็นสายสืบ ให้โขมยความลับฝ่ายตรงข้าม แต่ทว่าความลับของนักมายากลมีค่ายิ่งกว่าชีวิตคน กลสุดยอดแห่งการลวงคืออะไร? และใครจะเหนือกว่าใคร?
+/- : ความแค้นที่ไม่รู้ดับ นำมาซึ่งการสูญเสีย และการหักดิบที่ไม่มีวันจบสิ้น ชีวิตต่อชีวิต แต่ก็หวังว่าจะมีแค่ในหนังนะ เพราะดูๆ ไปมันก็ร้ายพอกันทั้ง 2 ฝ่าย คนนึงไม่แคร์ชีวิตคนอื่น กับอีกคนแคร์คนที่เคยรักมากไป แต่ก็นี่แหละ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้สนุกมากๆ มาแป๊กก็ตอน Electric Box ไม่ make sense เลย ว่าตกลงมันหนังมายากลหรือไสยศาสตร์(วิทยาศาสตร์โอเว่อร์)กันแน่
My IMDB Rate: 7.5/10 Love Actually (2005)
      ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของความรักล้วนๆ แต่เรื่องนี้นำเสนอเหตุการณ์ ที่ต่างคู่ ต่างสถานที่ ต่างมุมมอง ในช่วงเวลาก่อนคริสตมาส ไม่ว่าจะเป็นรักของประธานาธิบดี ของเพื่อนสนิทแอบรักแฟนเพื่อน หนุ่มสาวในออฟฟิศเดียวกัน คู่ของชายแก่แอบปันใจให้สาวรุ่นลูก หนุ่มอเมริกันกับสาวอังกฤษ ฯลฯ ดูแล้วก็น่ารักดี เพราะไม่ได้เป็นหนังรักฉาบฉวย แต่มีข้อคิดบางอย่างที่แฝงไว้
+/- : เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่นำเสนอความรักในหลายๆ แบบในเรื่องเดียว โดยรวมก็ดี ชอบคำพูดของผู้ชายคนนึงที่บอกว่า "For me, You are perfect" เสียดายที่คำนี้ไม่ใช่การขอแต่งงาน หากแต่เป็นคำของผู้ชายที่อกหัก แอบรักหญิงสาวที่ไม่กล้าบอก จนสายเกินไป และชอบอีกคู่นึง ที่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่ได้ลงเอยกับผู้ชายที่ตัวเองชอบ เพราะผู้หญิงคนนั้น เลือกจะแสดงความรักต่อพี่ชายที่ป่วยมากกว่า ก็ความรักจำกัดรูปแบบไม่ได้นิ่ … แต่ความรักในหนัง ก็ยังไม่ใช่สุดยอดแห่งความรัก เพราะรักแท้ เป็นความรักแบบอากาเป้ ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น
My IMDB Rate: 8/10 The Passion of the Christ (2004) "By his wounds, we were healed"
คำว่า "The Passion of The Christ" ใครอาจหมายถึง ความปรารถนาอันแรงกล้าในใจ ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้ได้ แต่สำหรับพระเยซูแล้ว มันหมายถึง "เกิดมาเพื่อสิ่งนี้" พระเยซูเกิดมาเพื่อถูกตรึงที่กางเขน ภาพยนตร์จึงนำเสนอเฉพาะ ชั่วโมงที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ โดยเริ่มจาก สวนเกทเสมนี ที่พระองค์ทุกข์ทรมาน แต่ก็ยอมเชื่อฟัง ทำตามพระทัยพระบิดา ยินยอมที่จะแบกกางเขน และถูกตรึงตาย โดยไม่ปริปากปฎิเสธ เพื่อที่มนุษย์จะได้รับการอภัยและคืนดีกับพระเจ้า ผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ แม้จะนำเสนอทุกอย่างไม่ได้ในช่วงเวลาของหนัง แต่ผู้สร้างไม่ได้ละเลยส่วนที่สำคัญ อย่างฉากมหาสนิท ขนมปัง น้ำองุ่น และคำสั่งที่ว่า "Love One Another"
+/- : ตอนที่หนังเรื่องนี้ออกมาครั้งแรก ดีใจมากมาย เพราะไม่ค่อยมีใครทำกัน แถมเป็นที่ฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นาๆ แม้จะนำเสนอแค่ช่วงเวลาสั้นๆ จากพระคัมภีร์ แต่เวอร์ชั่นนี้ตีแผ่ความทุกข์ทรมานของพระเยซู ได้ดีมากๆ ให้คนได้เห็นภาพว่า บาปของมนุษย์ ทำให้พระเยซูผู้ทรงรักโลก ต้องยอมทนเพื่อเรามากแค่ไหน แถมสมจริง ใช้ภาษาอาราบิก ไม่ยอมพูดอังกฤษกัน แต่รู้สึกอยู่บ้างว่า ออกแนวคาทอลิกไปนิด ที่เน้นนางมารีย์มากเกิน เหล่าสาวกดูเซอร์มั่กๆ แล้วหน้าตาของพระเยซู ช่างต่างกับจินตนาการคริสเตียนส่วนใหญ่ และอย่างบางช่วง ถ้าไม่ใช่คริสเตียน อาจดูไม่เข้าใจเท่าไหร่ เพราะไม่มีคำพูดใดๆ เช่น ตอนที่ ชาวยิวนำตัวหญิงโสเภณีมา จะเอาหินขว้างฐานทำบาป แต่พระเยซูกลับถามพวกเขา "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน" รวมทั้งพระคัมภีร์ไม่เคยบันทึกว่า หญิงโสเภณี คือนางมารีย์ มักดาลา ที่ตามพระองค์ถึงกางเขนจนมรณา + อะไรอีกหลายๆ อย่าง แต่โดยรวม ก็ประทับใจ ให้ 7/10 แต่ดูรอบสอง เอาไป 8 ดีกว่า
My IMDB Rate: 8/10 Batman Begins (2005)
      กำเนิดมนุษย์ค้างคาว Bruce Wayne (Christian Bale) จากเด็กน้อยลูกมหาเศรษฐีผู้กลัวค้างคาว พ่อแม่ของเขาถูกโจรข้างถนนยิงตาย ทำให้ชีวิตของ Bruce ตายด้านทางจิตใจ ภายนอกที่เหมือนจะเข้มแข็ง แต่ภายในเขาซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ เขาท่องไปในโลก และมีโอกาสฝึกฝนวิชาการต่อสู้แบบเอเชีย แต่ก็เลือกที่จะ ไม่ตัดสินชีวิตใครต่อใคร ด้วยการชี้ชะตา เมื่อเขากลับมายังคฤหาสถ์บ้านเกิด เขาค้นพบถ้ำค้างคาว และแปลงทรัพย์สินบริษัท มาใช้ในการช่วยเหลือประชาชน ในสิ่งที่ตำรวจไม่สามารถเข้าถึงได้ ภายใต้หน้ากากค้างคาวด้วย Concept ที่ว่า "It’s not who I am underneath, but what I *do* that defines me" Batman ค่อนข้าง Classic กว่า Spiderman, X-Men เพราะเขาไม่ได้ถูกค้างคาวกัด เขาไม่ได้มีเชื้อค้างคาว แต่…(ดูเอาเอง)
+ / – : ตอนดูรอบแรกเฉยๆ แต่พอรอบ 2 เริ่มได้แง่คิด(บ้าง)แฮะ ตอนที่ Bruce Wayne เข้า-ออกถ้ำค้างคาว เกิดความคิดขึ้นมาว่า เค้ารวยอยู่แล้ว เขาเลยสามารถทำตามอุดมการณ์ ที่อยากจะทำ ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ไม่เข้าใจเบื้องหลังหน้ากาก โดยไม่ต้องใช้ชีวิตทำงานเหมือนคนทั่วไป มีเสียงเข้ามาทันทีว่า "เรารวยกว่า Bruce Wayne อีก" … เมื่อคิดถึงคลังทรัพย์สมบัติของพระเจ้าเนี่ยะ มันยิ่งกว่าคนทั่วไปจริงๆ พระเจ้าสร้างโลก มีฤทธิ์อำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง ที่จะบันดาลให้เป็นไปได้ทุกอย่าง แล้วเราจะกลัวอะไรล่ะ จริงมะ
My IMDB Rate: 7.5/10 Crash (2005)
นานๆ ทีจะบอกได้ว่าหนัง Oscar ใช้ได้ ก็เรื่องนี้แหละ ที่ให้แง่คิด(สองคม) และใช้นักแสดง Hollywood อย่างเปลือง เป็นเรื่องราวของหลายๆ ชีวิต หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนละเรื่อง แต่มาผสานกันให้เกี่ยวข้องกันได้อย่างลงตัว (เหมือนที่ Babel พยายามเลียนแบบ) concept ของเรื่องคือ "You think you know who you are. You have no idea" เพราะคนเลวก็มีเหตุผลที่เลวและก็มีช่วงเวลาที่ทำดีได้ แต่คนที่คิดว่ามีอุดมการณ์ พยายามทำตัวเป็นคนดี ก็เผลอทำผิดร้ายแรงโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน … ชอบฉากที่เจ้าของร้านของชำเอาปืนมายิงเด็ก แล้วคุณพ่อก็ทำหน้าเหมือนชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว แต่จริงๆ บางฉากที่น่าเกลียด ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ทำให้ลดเกรดไปติดเรท R ซะงั้น
+ / – : หนังเหมือนให้แง่คิดดังที่กล่าวมา แต่เคยมีคำพูดของคริสเตียนคนนึงกล่าวว่า "ดูหนังเหมือนไม่มีอะไร แต่มันจะกลับมาทำร้ายตัวเราเวลาที่อ่อนแอ" ถามว่าจริงมั๊ย เจอกับตัวเองเลยแหละ มีอยู่วันนึงหลังจากดูเรื่องนี้ได้ไม่นาน มันเข้ามา shake จุดยืนของเราเหมือนคอนเซปหนัง ก็ต้องอย่าเผลอให้หนังมามีผลกับแง่คิดมากกว่าพระคำ
My IMDB Rate: 7.5/10 Pay It Forward (2000)
      เด็กน้อยที่มี idea สร้างสรรค์โลกดีๆ โดยไม่มีใครสอน Trevor (Haley Joel Osment) เรียนอยู่ในโรงเรียนประถม และอาศัยอยู่กับคุณแม่ ที่ทำงานช่วงกลางคืน ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพัง และมีเพื่อนเป็นคนติดยาจรจัด Idea ของเขาคือ ถ้าทุกคนทำความดีจริงๆ กับคน 3 คน และให้ 3 คนนั้นไปทำต่ออีก 3 คนไปเรื่อยๆ โลกนี้จะเต็มไปด้วยสิ่งดีๆ เรื่องราวต่างๆ การดำเนินเรื่อง มีการผูกเหตุการณ์เข้ากันได้เป็นอย่างดี Trevor ให้คนจรจัดขี้ยาเข้ามาอยู่อาศัยในบ้าน กินข้าวด้วยกันอย่างไม่รังเกียจ โดยที่แม่ของเขาไม่รู้ และสุดท้าย แม้ว่าคนไม่ดีมาปลิดชีวิตเด็กน้อยเสีย แต่ idea ความดีที่เขาคิด กลับมีผลกระทบต่อสังคมต่อไป (ในหนังเท่านั้นอ่ะ อยากให้เป็นเรื่องจริง)
+ / – : อันที่จริง ไม่ค่อยชอบ Drama เลย เพราะเข้าโรงไปฟังแต่พูดๆๆ เสียดายตังค์แย่ แต่เรื่องนี้ประทับใจจริงๆ ว่า Sensitive อยู่แล้วนะ ดูตอนจบเรื่องนี้ ยิ่งร้องไห้เข้าไปใหญ่ แต่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจ้าเด็กอยากให้แม่รักกับคุณครูนักน้าา
My IMDB Rate: 7.5/10 The Shawshank Redemption (1994) "Fear can hold you prisoner. Hope can set you free."
      Andy Dufresne (Tim Robbins) ชายหนุ่มอนาคตไกล กลับต้องถูกพิพากษาให้ต้องโทษในเรือนจำ ชื่อว่า Shawshank โดยที่เค้าก็ไม่รู้เลยว่าได้ฆ่าคนจริงๆ รึเปล่า เนื่องจากวันเกิดเหตุเมาหนัก เขาเจอกับเหตุการณ์หลากหลายภาพในเรือนจำ ทั้งการกลั่นแกล้ง ทำร้ายร่างกาย การหวังผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่ ฯลฯ ทำให้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดต้องพาให้เขาหลุดพ้นจากที่ชอว์แชงค์ (Warning: อยาก Spoil อ่ะ เพราะจริงๆ ใครก็เดาได้) ใครจะรู้ว่างานอดิเรก จากการที่เขามีค้อนอันกระจิ๋ว ที่ซ่อนไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล จะทำให้นักโทษคนนึงแหกคุกได้สำเร็จ แถมยังซ้อนแผนเอาคืนกับคนที่เคยรังแกได้อย่างแรง
+ / – : เรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า สุราไม่เคยทำให้ใครได้ดี มีแต่จะพินาศ! แต่ก็เพียงเล็กน้อย เพราะมีคำพูดที่ฟังดูยิ่งใหญ่นัก "There are places in this world that aren’t made out of stone. That there’s something inside… that they can’t get to, that they can’t touch. That’s yours." "What’re you talking about?" "HOPE" คือ ยังมีที่ไม่ได้ทำด้วยหินอย่างเรือนจำ ที่อยู่ข้างใน ไม่มีใครเอามันไปได้ นั่นคือ ความหวัง แอนดี้มีความหวังเสมอ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เกิดบทสรุปของเรื่องในตอนท้าย … นาย Norton ภายนอกทำตัวเคร่งศาสนา รักหนังสือไบเบิ้ลจัด แต่ที่แท้จริงแล้ว มันเป็นฉากบังหน้า และแม้แต่ที่ซ่อนตู้เซฟ ก็ยังเป็นของที่ภรรยาทำขึ้นจากที่โบสถ์ ตอนจบจึงได้ลงเอยสาสม
My IMDB Rate: 6/10 A Walk to Remember (2002)
      เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ Landon Carter (Shane West) ชายหนุ่มผู้หยิ่งยโส ไม่เคยแลสาวน้อย Jamie (Mandy Moore) ผู้น่ารัก ลูกสาวศิษยาภิบาล ที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จนวันหนึ่ง Landon ถูกลงวินัยให้ช่วยเหลือสังคมด้วยการไปเล่นละคร และเขาก็เริ่มปิ๊ง Jamie อย่างหัวปักหัวปำ สาวน้อยเชื่อมั่นใจตัว Landon ที่เหมือนจะไม่มีอะไรในชีวิต ว่าจะสามารถสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ อีกทั้งยังสอนให้เขารู้จักความรัก ความเชื่อ จนกระทั่งเขารู้ว่านางเอกเป็นลูคิเมีย และจะตายในไม่ช้า เขาจึงใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่เพื่อคนรักให้มากที่สุด … เรื่องนี้มีคำบางคำที่ดัดแปลงมาจากพระคัมภีร์ เช่น Faith can move a mountain -> Love can move a mountain, Holy Spirit is like the wind -> Love is like the wind, you cannot see it but you can feel it. นับว่าใกล้เคียงมาก
+ / – : ใครบอกว่านี่เป็นหนังคริสเตียน ขอเถียงหัวเด็ดเท้าขาดว่าไม่เห็นใช่เลย แค่พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับคริสเตียนบ้างในบางตอนของเรื่อง สงสัยว่า Jamie เกิดในยุคที่คริสตจักร ไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์/การรักษาโรค เธอถึงได้ตายเพราะมะเร็ง ทั้งที่เป็นลูก Pastor แต่ชอบนะ ตอนที่ Langdon เปิดไดอารี่คุณแม่ Jamie แล้วมีถ้อยคำว่า "Love suffers long and is kind ….." แต่ก็นั่นแหละ Langdon ไม่รู้อยู่ดีใช่มั๊ยว่ามันมาจากพระคำ 1 Corin 13
My IMDB Rate: 7.5/10 Casanova (2005)
      ชายหนุ่มผู้ขึ้นชื่อเรื่องรักไปทั่วเขตแดน ทำให้มีสาวๆ มากมายใฝ่ฝันที่จะได้พบเจอกับเขา คาสโนว่าบังเอิญได้รู้จักกับ Pucci (Jeremy Irons) สาวนักประดิษฐ์ผู้เก่งกาจอย่างชายชาตรี คาสโนว่าพยายามติดตามและสืบเสาะเรื่องราวเกี่ยวกับ Pucci จนกระทั่ง ยอมปลอมตัวเป็นพ่อค้าที่จะสู่ขอนางเอก ก่อนจะถูกจับได้พร้อมกับโทษประหารจากนักศาสนา
+/- : หนังมีหักมุมก่อนจบนิดๆ ทำให้ดูน่ารักทีเดียว แม้ต้นเรื่องจะมีฉากเกินงาม จากความเจ้าชู้ของคาสโนว่าก็ตามที ชอบตรงที่ เมื่อพบรักแท้กะนางเอกตัวจริง ความรักเป็นแนวหวานๆ ไม่หวือหวาเหมือนตอนยังกะล่อน แต่เสียดายที่คาสโนว่า น่าจะหน้าตาดีกว่า Heath Ledger เพราะพระเอกหนังเกย์อย่าง Brokeback ไม่น่าจะหว่านเสน่ห์สาวๆ ได้หัวปักหัวปำ
My IMDB Rate: 7/10 Wild Things (1998)
      เมืองเศรษฐีแห่ง Blue Bay ใน South California ใครจะรู้ว่าภายใต้แผนการธรรมดาๆ จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ยิ่งขุดยิ่งเจอ อันที่จริงมันก็แค่คดีคุณครูพละ (Matt Dillon) พรากผู้เยาว์นักเรียนสาว (Denise Richards) ที่ตกเป็นคดีดังของเมือง แต่มันนำไปสู่การฆาตกรรมเพื่อนนักเรียนขี้ยาสุดเฮี้ยว (Neve Campbell) เลยต้องวุ่นวายทั้งทนาย ตำรวจ นักสืบ ชั้นศาล ฯลฯ ติดตามล่าหาหลักฐาน จะมีซักกี่คนที่อยู่เบื้องหลังแผนการฮุบเงินง่ายๆ นี้? แล้วคุณก็จะคิดไม่ถึง เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า
+/- : ชอบ Plot เรื่องของภาพยนตร์ และการหักมุมในแต่ละตอน จนกระทั่งสืบสาวราวเรื่องในตอนท้ายที่สุด ก็ยังถือว่าเหนือชั้นกว่าหนังหักมุมหลายๆ เรื่อง แต่บางฉากที่มันล่อแหลม อันตรายมากๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่ควรดู ถ้าไม่โจ่งแจ้งในบางเรื่อง จะได้รับการกล่าวขวัญมากกว่านี้
ตั้งแต่ดูหนังมา มีหนังเรื่องไหนพาเราไปสู่พระเจ้า ขอบอกได้เลยว่าน้อยมากๆ ประมาณ 2-3% ของทั้งหมด เพราะตลาดหนังตามโรงต่างๆ ไม่ได้สร้างหนังมาให้คนรู้จักพระเจ้า แต่สร้างตาม "ระบอบของโลก" เป็นความบันเทิงที่ใส่แนวคิดบางอย่างโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเสรีเรื่อง sex ทั้งที่สังคมอเมริกันจริงๆ ก็ไม่ได้มั่วขนาดในหนังหรอกนะ ถ้าจะมีเรื่องดีๆ ก็สอดแทรกเข้าไปเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่มีผล ด้วยเหตุนี้ จึงอยากมาเชิญชวนคริสเตียนอธิษฐานเผื่อทีมงาน Hollywood ในการสร้างภาพยนตร์จาก Bible ทั้งเล่มให้อลังการ มี Episode ต่างๆ และดังทุกภาคยิ่งกว่า Star Wars, LOTR โดยที่เนื้อหา ฉาก ตัวละคร ฯลฯ ทุกอย่าง มีพลังฤทธิ์เดชที่จะแตะต้องจิตใจคนดู เป็นสื่อที่ยิ่งใหญ่มาก ในการทำให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ นี่จะเป็นสื่อแห่งการหว่าน และเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ ในยุคสุดท้าย ก่อนพระเยซูจะเสด็จกลับมาด้วย
    เพราะที่ผ่านมา เวลาพูดถึงหนังที่สามารถประกาศเรื่องราวพระเยซูได้ มีน้อยมากๆ อย่างของ Campus Crusade มันดูเก่าๆ เชยๆ มากแล้ว แม้ถ้อยคำในหนังจะมีฤทธิ์อำนาจก็ตามที อย่าง Passion of Christ, Ben-Hur, Left Behind ก็เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวของภาพยนตร์ในฝันที่อยากให้พี่น้องทุกท่านอธิษฐานเผื่อ ฝากรวมถึงหัวข้อจิตวิญญาณของผู้ร่วมงานในทีมฮอลลีวู้ด การแปลเป็นภาษาต่างๆ เพราะเคยดู series พวก Bible Collection ที่แปลเป็นภาษาไทย แปลได้แย่มากๆ แม้กระทั่งหนังดังๆ หลายๆ เรื่อง ที่มีเรื่องพระเจ้าหรือพระคำปะปน เราว่ามันสำคัญมากๆ เลยนะ แม้คนดูไม่รู้ว่ามันจะมีเรื่องพระเจ้า แต่ถ้าแปลดีๆ แล้ว แตะต้องสัมผัสใจคนให้พบความรักพระเจ้าได้ไม่ยากเลย เพราะสมัยนี้ ทุกคนรู้จักหนัง Hollywood ทุกคน บริโภควัฒนธรรม และแนวคิดจากหนังเหล่านี้กันเป็นล่ำเป็นสัน บางคนเดือนละครั้ง อาทิตย์ละครั้ง หรือบางคนแทบทุกวันเลยทีเดียว
    เอาเป็นว่า สุดท้ายนี้ ขอฝากอธิษฐานเผื่อหัวข้อนี้เป็นประจำนะคะ พระองค์ทรงนำเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ ไม่เชื่อลองดูสักครั้งสิคะ

Chariots of Fire (1981) [7/10] เรื่องราวของนักวิ่งมาราธอน ระดับโอลิมปิก เค้าเกิดมาเพื่อวิ่ง และในการวิ่งของเขา เขาได้สัมผัสพระเจ้า
Pirate of Silicon Valley (1999) [7/10] คนทั่วโลกต่างประทับใจกับบิลล์ เกต ที่สร้างมหาวินโดวส์ให้ใช้ แต่ใครจะรู้บ้างว่า สตีฟ จ๊อบ ก็มีส่วนสำคัญยิ่งกว่า
Usual Suspects (1995) [5/10] เครียดไปเลยที่ใครๆ ก็ว่าเป็นหนังหักมุมเรื่องเยี่ยม ดูแล้วแทบไม่หักเลย ก็ Spacey ทำหน้าตาอย่างนั้น
Before Sunrise & Before Sunset (1995, 2004) [ 6/10 ] ถ้าไม่อยากรู้อะไร นอกจากฝรั่งเศสสวยแค่ไหน ก็จะมีแต่โรแมนติกแบบย้อนยุค
Red Dragon (2002) [7/10] หนังโหดก็จริง แต่เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า Edward Norton เล่นหนังเก่งมาก รวมทั้งดาราแม่เหล็กอย่าง Ralph Fiennes
V for Vendetta (2005) [7/10] เมื่อผู้ร้ายแห่ง The Matrix กลายมาเป็น Super Hero ภายใต้หน้ากากที่ชื่อ V ในภาคนี้
Great Raid (2005) [7.5/10] หนังค่อนข้างโหดตามแนวสงคราม แต่ดูแล้วรู้สึกได้มากกว่าสงคราม กับการช่วยตัวประกันอเมริกันในค่ายทหารญี่ปุ่น
Match Point (2006) [2/10] เรื่องนี้ดูนานแล้ว ตอนดูเสร็จรู้สึกว่าต้องสารภาพบาปอย่างแรง ก็พระองค์เตือนแล้วว่าอย่าดู
Little Miss Sunshine (2006) [3/10] เข้าใจคำว่ารางวัลออสการ์จริงๆ ทำเด็กแว่นให้แก่นแก้วเกินตัว แล้วบอกว่าเป็นหนังครอบครัว เซ็ง
Children of Man (2006) [6/10] ไม่รู้ว่าฮิตติดชาร์ท IMDB ได้อย่างไร กับภารกิจกู้โลก พิทักษ์เด็กชายแห่งอนาคตที่หลงเหลือ หนังเหมือนเกมส์ยิงๆ กันมากกว่า
Babel (2006) [6/10] หนังเหมือนจะดี แต่ดูแล้วก็เลียนแบบ Crash นี่หน่า ออกแนว Lost แต่ชอบตอนผู้หญิงใบ้ หูหนวก เดินผ่านวงดนตรี
MI 3 (2006) [8/10] ภารกิจของภาคนี้ มันส์มากๆ แถมมีคนเก่งๆ มาร่วมทีมมากขึ้น

Leave a comment »

Plz pray for me … So stressful

Plz pray for my harddisk …
 
นั่งเสียดายเวลาขณะที่โปรแกรมกู้ข้อมูล 320G ในเวลา 10 กว่าชั่วโมง
พอแสกนไฟล์เสร็จทั้งหมด
มันดันบอกว่า Bad Sector
แล้วจะกู้ไฟล์ขึ้นมาได้ยังไงล่ะเนี่ยะ
 
ช่วยด้วยค่ะ
ช่วยอธิษฐานเผื่อด้วย
คราวก่อนไฟไหม้ก็ว่าแปลกๆ แล้วนะ
ไฟไหม้เสร็จ กว่าจะเข้าไปดู Harddisk ว่ายังมีชีวิตรึเปล่าก็ต้องอีกวัน
ไปแสกนรอบแรก ไฟล์ยังอยู่หมด แต่กู้มาไม่ได้ Harddisk ไม่พอ
เลยไปยืม Harddisk คุณชะมาอีก 100G
แต่พอแสกนรอบนี้
มันไม่เจอไฟล์แล้ว
แถมบอกว่า Bad Sector อีกตะหาก
ประกัน Harddisk 5 ปีก็จริง
แต่ยังไม่ถึงเดือน ข้อมูลก็เสียหาย
ไม่มีใครมาประกันข้อมูลให้ซักหน่อย
 
ไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนเครียดจนนอนแทบไม่หลับ
ช่วยอธิษฐานเผื่อด้วย นี่มันยิ่งกว่าไฟไหม้อีก
เมื่อก่อนเคยคิด ว่าถ้าไม่มีข้อมูลพวกนี้ ชีวิตหาอยู่ต่อไปได้อีก
แต่เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทำได้ทุกอย่าง ตอนนี้จึงมีหวัง
ขอช่วยอธิษฐานเผื่อ Harddisk และจิตใจด้วยค่ะ
ไม่ไหวแล้วจริงๆ ถอดใจ เสียดายเวลามากๆ
 
งานนี้ ทำให้เหน็ดเหนื่อยจนอยากจะลาออกจากวงการ IT
เกลียดไวรัส เกลียดมาร เกลียดมัน มันมาลัก ฆ่า ทำลาย
ช่วยด้วย ช่วยอธิษฐานเผื่อหนักๆ เลย
ขอบคุณมาก
3 Comments »

ระดับประเทศ & ระดับโลก

อาทิตย์ที่ผ่านมา มีปัญหากะเครื่องใหม่รุนแรงมาก เพราะ Worm ลงเครื่องจนโหลดเข้า Windows ไม่ได้ ตอนซื้อ ทางร้าน Ghost ระบบมาให้ ทำให้มันเอ๋อๆ ต้องมาลงใหม่ เป็นไปได้หลายอย่างที่ไวรัสเข้ามา คือ XP ไม่มีวันสมบูรณ์ มีรูรั่วเสมอ หรือ อีกกรณีเค้าว่ากันว่า McAfee แกล้งปล่อยให้ไวรัสเข้ามา เพราะไม่ได้ register กับมัน และอีกกรณีคือ แผ่นโปรแกรมเก่าๆ มีไวรัสปะปนอยู่โดยไม่รับเชิญ เอาเป็นว่าแค่โดนเวิร์มก็ถอดใจแล้ว เซ็งโลกสุดขีด  ไม่คิดว่าจะมีความยาก+ลำบากระดับประเทศเกิดขึ้นอีกจนได้

ตั้งแต่ลง XP ไม่สามารถรันโปรแกรมที่เคยเขียนไว้หลายๆ อย่างได้ โดยเฉพาะเว็บที่กำลังจะปล่อย ซึ่งปัญหาเกิดจาก IIS มีปัญหาเรื่อง Security กับ NTFS จากเดิมที่เคยใช้ Win2K แบบ FAT32 เลยเซ็งจัด โค้ด OOPHP เลยขึ้น Warning/Error ตรึมเลย ทั้งไวรัสลงอีก ถอดใจตั้งแต่ต้นอาทิตย์ ทำไมโดนอะไรร้ายแรงขนาดนี้ ขนาดคอมใหม่ยังไม่ลงตัว ใช้เวลาโอนถ่ายไฟล์และเซตเครื่องตั้ง 2 อาทิตย์ นี่ฉันต้องมาลงมันใหม่อีกหรอเนี่ยะ … ว่าแล้วก็หยิบแผ่น Win2K เก่าๆ ขึ้นมาจะลงทับ เลยเลือกลบ Partition C เพื่อลบ XP เดิมออกด้วย แต่ที่ไหนได้ Partition ทั้งหมดหายไปเกลี้ยง ทั้ง C/D/E/F ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลลับระดับโลก 320G ละเหี่ยใจจริงๆ แต่มีความหวังในพระเจ้าว่าจะกู้ได้ เลยติดต่อเพื่อด่วน

และแล้วก็ไปโดนไม่ไกล นายมานะผู้ใจดีเจ้าเดิม เนื่องจากมานะดันเรียนป.โทที่พระจอมฯลาดกระบังนานมาก และบ้านอยู่ใกล้ๆ  เลยพึ่งพากันอีกจนได้  หลังจากที่หลายปีก่อนเคยยืมแผ่น Linux & etc… มากมาย หลายเดือนกว่าจะคืน คราวนี้มานะกำลังปั่น Thesis ก็ยังไปกวนอีกจนได้ ถอด HDD SATA2 ไปเสียบเครื่อง P4 ของท่านเพื่อนซึ่งจุได้น้อยกว่า [Thanxx ท่านเพื่อนมั่กๆ ที่ช่วยเหลือนะ ตั้งแต่สมัย Java ตอนม.เทคโนฯสุรนารีเลย] ระหว่างนี้เป็นที่รู้กันว่า การกู้ข้อมูล แสกนดิสก์ ไฟห้ามตก ห้ามดับเด็ดขาด แต่แล้วก็เกิดขึ้นจนได้ ยิ่งกว่าไฟชอตซะอีก …

ก็ระหว่างที่เดินออกมาจากแลบ วิศวะคอม จะเข้าห้องน้ำ เงยหน้าขึ้นไปมองฝั่งตรงข้าม ควันดำคลุ้งเต็มไปหมดเลย เห็นเด็ก ป.ตรีด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้น นึกว่าทดลองอะไรไฟไหม้ ไอ้เพื่อนเราก็มองนิ่ง ไม่รู้สึกอยากเผ่นไปไหน ไปๆ มาๆ มันลามใหญ่โต สายฉีดดับเพลิงก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยิ่งนานยิ่งไหม้  เด็กป.ตรีที่เรียนรอบดึก(เกือบทุ่มแล้ว)นั่งเรียนกันหลายห้อง ต้องอพยพออกมากันหมด อาจารย์ทั้งหลายก็รีบตะโกนไล่เด็กออก วุ่นวายหลายแสน ไอ้เราอุตส่าห์แบกฮาร์ดดิสก์มา ยังต้องดับไฟขณะแสกนดิสส์อีก แถม HDD จะโดนสปริงเกอร์ฉีดน้ำใส่รึเปล่าก็ม่ายรู้ เฮ้อ…ร้อยวันพันปีไม่เคยไหม้เล้ยย พอเราไปวันเดียว ตึก EEC ไฟไหม้ใหญ่โต … นี่มันระดับประเทศทีเดียวเลยนะเนี่ยะ ตำรวจ ดับเพลิง มากันเพียบบบ

อย่างที่หลายคนรู้นะ ว่าเรากำลังทำโปรเจคอะไรอยู่ ขณะเดียวกัน มารมันก็พยายามมาลัก ฆ่า ทำลาย อยากจะให้อกสั่นขวัญ แขวน จึงวอนพี่น้องทุกท่านที่อยากเห็นเว็บดีๆ เกิดขึ้น ช่วยกันอธิษฐานเผื่อตั้งแต่ Hardware: CPU/Mainboard/RAM/Harddisk/Power Supply/VGA, Software: OS/Misc Soft/Anti-Virus/Firewall & Data/Security/Etc

ไม่รู้หรอกว่ามันเห็นเราเป็นใคร แต่ที่รู้ๆ งานนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ ตั้งแต่ไวรัส พาร์ติชั่น ไฟไหม้ ฯลฯ เผลอๆ นี่อาจเป็นระดับโลกก็ได้ … พอเจอเหตุการณ์อย่างนี้ เลยขึ้นตึกไม่ได้ และได้ข่าวว่า LAB โดนไฟเลียคอม  ไปเป็น 100 เครื่อง เลยต้องกลับบ้านมาอ่านหนังสือกิจการฯต่อ ปรากฎว่า ลองสังเกตนะตั้งแต่เปโตรยันเปาโลนะ เมื่อไหร่ที่งานพระเจ้าเกิดผลมากมาย จะมีคำว่า "แต่" ตามมาเสมอ เป็นกิจการของมารที่ขัดขวางงานของพระเจ้า ที่เหลืออยู่คือ ความหวัง/ความเชื่อ ในพระเจ้าอย่างเดียวจริงๆ และมันจะพาไปสู่ Solution ที่ดีกว่า ที่ศัตรูคิดไม่ถึง มันคือ กิจการคว่ำโลก

ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์อ่านแล้วยังไปอธิษฐานเผื่อ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณพระเจ้า

รักนะ จะบอกให้ … จุ๊บ จุ๊บ

5 Comments »

Happy Time

เวลาที่มีความสุข- ตอนเขียนโปรแกรมยากสุดขีด Logic ซับซ้อนซ่อนเงื่อนให้ออกมาเป็น function เดียว แต่ทำงานกับหลาย procedure 

– ตอนเล่นเปียโนอยู่ที่บ้าน โดยไม่มีใครนั่งฟัง ดนตรีเป็นอะไรที่ หืมม…พระเจ้าสร้างมันได้สุดยอด

– ปีนเขา แช่น้ำตก หมกตัวกับธรรมชาติ ยามสายลมอ่อนๆ พัดไหวๆ

– เปิบอาหารอีสานครบเซต แม้ไม่ใช่อาหารบ้านเกิด แต่มันอร่อยที่สุดในโลก

– ได้อยู่กับใครซักคนที่รักเรามากๆ และได้รู้ว่าเขารักมาก และคนนั้นมักจะเป็น Jesus เสมอ

– ได้อยู่กับใครหลายๆ คนที่เรารักเขา คุณแม่ ครอบครัว เพื่อนพี่น้องที่รักในพระคริสต์ และเพื่อนร่วมโลกใบนี้ ฯลฯ

– อ่านพระคัมภีร์แล้วได้ยินเสียงพระเจ้าเปิดเผยความล้ำลึกแห่งความรักอันอ่อนโยนของพระองค์

– เวลาที่ออกไปประกาศ พูดเรื่องราวความรักของพระเยซูให้คนอื่นฟัง ไม่ว่าจะร้องเพลงสาธารณะ หรือเป็นพยานส่วนตัว

– นมัสการพระเจ้าแล้วสัมผัส Glory & Mercy ของพระเจ้าเทลงมา ไม่มีตอนไหนสุขได้มากกว่านี้อีกแล้ว

– ตอนที่นึกถึงพระสัญญาพระเจ้า  ข้อนี้ “ความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ … เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆ แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า เป็นสัญญาสุดยอดของเราที่วันหนึ่งจะได้พบพระองค์หน้าต่อหน้า เนื่องจากตอนรู้จักพระเจ้าใหม่ๆ ให้ความสำคัญกับความรู้มาก พยายามหาเหตุผลในเรื่องพระเจ้าด้วยความรู้และสติปัญญา แต่สุดท้ายเมื่อพบว่ามันไม่ใช่ ใช้วิธีแบบมนุษย์ไม่ได้ ก็ยังสงสัยโน่น สงสัยนี่ จนวันนึงต้องถามพระเจ้าว่า พระองค์รู้ได้ยังไงว่าเราอยากเกิดมาเพื่ออยู่ในสวรรค์นิรันดร์ พระองค์ไม่บอกอะไรเป็นความรู้นอกจากถามว่า “Will You Worship?” แล้ว I ก็ตอบว่า Yes, of course มีหลายสิ่งเหลือเกินที่ละไว้ จุด จุด จุด ในฐานที่ไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่รู้แน่นอนคือ พระเจ้ารักและให้สิ่งดีแก่เราเสมอ ดีกว่าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากไอ้พวกรูปปั้นน่าเกลียดทั้งหลาย อย่างที่รู้กัน ถ้ามนุษย์ตามพระเจ้าทัน และรู้เกี่ยวกับพระองค์ไปหมดทุกเรื่องภายใต้สมองอันน้อยนิด พระเจ้าคงไม่ยิ่งใหญ่แล้วล่ะ และเราคงไม่เรียกสิ่งนั้นว่า พระเจ้า … บางครั้งเคยรู้สึกแอบรำคาญคนช่างสงสัยอยู่ในใจ เวลาต้องตอบคำถามคนไม่เชื่อว่าทำไมพระเจ้าอย่างโน้น ทำไมต้องอย่างนี้ ทำไม ทำไม ทำไม? (ทั้งที่เคยเป็นเหมือนพวกเขามาก่อน) เช่นคำถามพวก พระเจ้าทำไมสร้างซาตานให้กบฎ ให้เกิดความชั่ว จากที่เคยตอบ “ถ้าไม่มีความมืด คุณจะรู้มะว่าอะไรคือความสว่าง” หรือตอบอื่นๆ ฯลฯ ตอนนี้ไม่มีคำถามประเภทนั้นในใจแล้ว เพราะพระเจ้าเป็นจริง ในชีวิต มีคำตอบอยู่ในตัว ที่ไม่สามารถอธิบายได้หมดจด แต่ข้อสรุปของทุกสิ่ง เพราะ “พระเจ้า เป็น ความรัก บางอย่างไม่เห็นจำเป็นต้องมีคำตอบตามที่เขาต้องการเด๊ะๆ เช่น พระเจ้ามีจริงมั๊ย จะให้ตอบตามแนวทางที่คุณวางไว้น่ะหรือ ไม่จำเป็นหรอก เพราะพระองค์บอกว่า สรรพสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าสร้างก็ฟ้องด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ว่าต้องมีผู้สร้าง และมโนธรรมของมนุษย์ & ฯลฯ 108-1009 ประการบนโลกนี้ จะฟ้องพวกเขาในวันสุดท้ายที่อยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา ทุกคนไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ (Romans 1:20) … เอาเป็นว่าไอ้ที่เรายังไม่รู้ ไม่เข้าใจใต้สมองก็กำลังลุ้นตื่นเต้นกับวันนั้น วันแห่งพระสัญญา!

ชีวิตนี้เรื่องเศร้าโศกเสียใจก็มีเยอะ แต่จะนึกถึงมันทำไมล่ะ เสียสุขภาพจิตหมด รู้แค่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็พอละ   ขอให้ทุกคน แฮปปี้ เน้อ… ใครไม่เจอฟามสุขแท้จริงในชีวิตเลย ลองมารับจากพระเจ้าสิ พระองค์เป็น Prince of Peace เจ้าชายแห่งสันติสุข Jehovah Shalom!

— สันติสุขที่โลกนี้ให้ ไม่เหมือนกับที่พระเจ้ามอบให้ —

Leave a comment »

The Inspiration with Person who was not understood

Genius is 1% inspiration, 99% persperation
Thomas Alva Edison

Neither a lofty degree of intelligence nor imagination
nor both together go to the making of genius.
Love, love, love,  that is the soul of genius

Wolfgang Amadeus Mozart

Try not to become a man of success,
but rather, try to become a man of value.

Albert Einstein

No great discovery was ever made without a bold guess
Sir Isaac Newton [Mathematician, Physicist, Inventor of Calculus]


From a knowledge of His work, we shall know Him
ความรู้ในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เราจึงจะรู้จักพระองค์
Robert Boyle [Founder of Modern Chemistry]

The more I study nature, the more I stand amazed at the work of the Creator.
Science brings men nearer to God
” ยิ่งผมศึกษาธรรมชาติมากเท่าไหร่
ผมต้องพิศวงต่อพระราชกิจของพระเจ้า วิทยาศาสตร์นำให้มนุษย์เข้าใกล้พระองค์
Louis Pasteur [Father of Microbiology – บิดาแห่งจุลชีววิทยา]

Pascal, Sir Isaac Newton, Samuel Morse, Michael Faraday และนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ มากมาย ล้วนเชื่อในพระเจ้า พวกเค้ากล่าวว่า การค้นพบสิ่งต่างๆ ออกมา เพื่อจะพิสูจน์ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน

คนมากมายมุ่งทำในสิ่งที่ตนเองตั้งใจจนสำเร็จ โดยที่ชีวิตของพวกเขาไม่เป็นที่เข้าใจซักนิด ไม่จำเป็นต้องมีใครเข้าใจว่าทำไม Einstein หัวขี้เลื่อยตอนเรียนประถม Bill Gates ไม่เคยต้องการคำปลอบใจเมื่อตอนที่ถูกรีไทล์

Edison ขี้สงสัยจนต้องเรียนหนังสืออยู่กับบ้าน เค้ามุ่งใช้เวลาหลายปี ทั้งวันคืน อยู่ในห้องทดลองกับสิ่งที่ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าจะมีขึ้นมาในโลกได้ Edison มีความเชื่อในสิ่งที่เขายังไม่เห็นว่าเค้าจะต้องทำมันสำเร็จ … ไม่ใช่เพียงแค่ Edison ค้นพบหลอดไฟ ยังมีนวัตกรรมมากมายที่เค้าเป็นผู้ประดิษฐ์ จนกลายเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ปัจจุบันยังติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก General Electric

อย่าเอามาตรฐานของโลกนี้มาวัดกัน ว่าฉันจะมีคุณค่าต่อเมื่อทำงานประจำ
อย่าเอาตำแหน่งต่างๆ มาวัดกัน ว่าฉันใช้ชีวิตล่องลอยกว่าใครๆ
ไม่ต้องการใครมาเข้าใจ ไม่ต้องการคำปลอบโยน … สิ่งที่ต้องการคือ หัวใจที่แข็งแกร่ง และมุ่งหน้าทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ คือ สิ่งที่คนบนโลกนี้ไม่เข้าใจ!

มีชายคนหนึ่ง … เกิดมาเป็นคนยากจน คนตราหน้าว่าเค้าเป็นบ้า มีผีสิง น้อยคนนักที่จะเข้าใจเค้า และหลายคนปฎิเสธที่จะบอกว่าเป็นพวกของเค้า เค้าถูกจับด้วยข้อหาเป็นนักต้มตุ๋น ก่อความขัดแย้งในสังคม แต่เขาไม่แก้ตัวใดๆ ให้คนมาเข้าใจ ทั้งที่ถ้อยคำของเขานั้น ดีกว่า quote ของ celebrities ข้างบนอย่างเทียบกันไม่ได้ … ชายผู้นี้เกิดมาเพราะความรัก และเค้าเข้าใจคนทั้งโลก JESUS

และเขาเข้าใจฉัน!!! I have only one best friend, nobody replaces Him!


What a Friend We Have in Jesus มีสหายเลิศคือพระเยซู
all our sins and griefs to bear! ผู้ได้แบกบาปทุกข์ของเรา
What a privilege to carry มีอะไรรบกวนให้โศกเศร้า
everything to God in prayer! จงรีบเร่งนำมาเข้าเฝ้า
O what peace we often forfeit, เหตุไฉนเราลืมพระเจ้าบ่อย
O what needless pain we bear, ใจเป็นทุกข์โดยไม่มีเหตุ
all because we do not carry เพราะการไหว้วอนเราได้ท้อถอย
everything to God in prayer. ไม่ได้ทูลผู้ทรงฤทธิ์เดช

2 Comments »

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ไดอารี่ เขียนไปทำไมหรอ? … ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ค้นพบว่าตัวเองนอนละเมอ แล้วคุณหมอก็แนะนำวิธีแก้ไข คือ ให้เขียนไดอารี่ เป็นการระบายออกอย่างหนึ่ง แต่อันที่จริง ก่อนหน้านั้นก็เขียนมานานอยู่แล้ว และเวลากลับไปอ่านในสมุดไดอารี่สมัยประถม มัธยม มหาลัย จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากมาย บางอย่างต้องผ่านเหตุการณ์ไปหลายปี กว่าจะเข้าใจว่าทำไมต้องเป็นอย่างที่เคยเป็น แต่ก็เป็นพระคุณพระเจ้าอยู่ดี … อันที่จริงแล้ว การเขียนไดอารี่ มันก็คือการบันทึกแบบระบายหมดใจ ไม่จำเป็นที่ใครคนไหนต้องมาอ่าน แต่เนื่องจากสมัยนี้ เค้าไม่เขียนสมุดกันแล้ว มาแปะไว้บน blog ก็ดูสะดวกดี ใครผ่านไปผ่านมา ก็ไม่ต้องเข้าใจหรอก ว่าทำไมเราคิดอย่างนี้ เพราะมันเป็นไดอารี่ส่วนตัววันยังค่ำ

Diary – June 1st

ในที่สุด โต้รุ่งก็มาถึงอีกจนได้ แต่พอดีว่าครั้งนี้ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นมากเท่าไหร่ ไม่ได้เผื่อใจ เพราะก่อนหน้านี้ตั้งปณิธานหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เราไม่แฮป แต่ก็มีสาวน้อยผู้ร้อนรนมาตามเราไปด้วยคำอธิษฐาน มาถึงแล้ว ยังดู vdo ไม่จบกันเลย เลยลงไปโต๋เต๋ก่อนมานมัสการ ส่วนคำเทศนาก็ดีมากๆ จบช่วงแรกเกือบตี 1 แล้ว ที่เน้นกันคือ อธิษฐานเผื่อรัฐธรรมนูญ

รอบหลังนี่ ก็ดี ได้รื่นเริงยินดี และสัมผัสการทรงสถิตพระเจ้ามากมาย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ของโต้รุ่งแล้วมัง ที่ไม่ได้รับสัมผัสการแตะแรงๆ จากพระวิญญาณ (เพราะเราคาดหวังทางความรู้สึกเกินกว่าทางความเชื่อ) แต่ระหว่างอธิษฐานเผื่อกันและกัน และเผื่อประเทศไทย ตั้งแต่ตี 2 ถึงตี 5 สัมผัสไฟแห่งพระสิริพระเจ้าในที่ประชุม … ทุกครั้งที่มีใครเป็นพยานว่ามีประสบการณ์กับพระวิญญาณ ข้างในจะแช่มชื่นมาก วันนี้มีน้องกิ๊ก อายุประมาณ 18 บอกว่าพูดภาษาแปลกๆ ออกมาได้เอง ดีใจจัง แถมยังเห็นพระคัมภีร์น้องเต็มไปด้วยรอยขีดสีสัน รู้สึกว่ายุคนี้ พระเจ้าเรียกเด็กๆ ที่สมัยเป็นเรา ยังไม่เอาไหนอยู่ เป็นยุคสุดท้ายจริงๆ

เลิกประชุม ออกมา ฟ้าสว่างแล้ว ไม่เคยมีโต้รุ่งครั้งไหนที่ง่วงนอนขนาดนี้ เพราะคืนก่อนไม่ได้เตรียมมาโต้รุ่ง เลี้ยงเด็กแฝด เลยหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน เหมือนไม่ได้นอน แถมตอนเช้าแพลนจะไปพันธุ์ทิพย์ก็ล่มสลาย เพราะง่วงนอนเอามั่กๆ  กลับบ้าน ครอก ฟี้ ด้วยความเปรมปรีดิ์

¸¸.·´¯`·.¸·. ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ .·¸.·´¯`·.¸¸

Diary – June 3rd

นมัสการวันนี้พิเศษยังไงไม่รู้ ทั้งที่คิดว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว เลยไปนั่งอยู่ด้านหลังคนเดียว แต่พระวิญญาณเคลื่อนในห้องประชุมมากๆ สงสัยว่าพี่น้องอธิษฐานเผื่อกันมาดี สัมผัสพระเจ้าในการนมัสการทุกเพลง  วันนี้ มีศีลมหาสนิท น้องแป้ง ที่เพิ่งรับเชื่อเตรียมจะรับด้วย ดีว่าเราคว้าถาดหนมปังมาซะก่อน เข้ากลุ่มตอนบ่ายคนเยอะเหมือนเดิม นมัสการก็อินได้มากๆ อีกอย่างไม่น่าเชื่อ แถมอารมณ์แจ่มใส หัวเราะคิกคักกันตลอดกับซาฟัส นั่งข้างกันไม่ได้เล้ยย

โลกมาเริ่มมืดก็ตอนโดนเรียกไปประชุม ทั้งที่อาทิตย์ก่อนประชุมถึง 6 โมงเย็น และบอกว่านัดอีกที 2 อาทิตย์หน้า แต่ไหนกลายเป็นว่าเลื่อนโดยไม่บอกกล่าว เอกสารเลยยังไม่ได้เตรียม แถมเข้าไปบรรยากาศตรึงเครียดมาก  ก็แพลนธุระก่อนประชุมจะเลิกไว้แล้วนี่หน่า ดีว่าซาฟัสโทรเข้ามา เลยหาเรื่องออกจากห้องไปได้ เข้ากลุ่มต่อ ความแฮปปี้เริ่มกลับมาบ้าง หลายคนกำลังเล่าคำพยานอยู่ กว่าจะครบก็เกือบหมดเวลาที่แพลนไว้ แต่คนแบ่งปันพระคำเหมือนรถไฟด่วน 10 นาทีจบซะงั้น ตรงเวลาดีมาก (ใครหว่า )

ที่วันนี้รีบๆ ก็เพราะนัดกะเพื่อนไว้ในงาน Revival เข้าไปในงาน รู้สึกพี่ๆ ที่โบสถ์แม่น้ำเปลี้ยนไป๋เกือบหมด พี่โน้ต กลายเป็นผู้นำนมัสการ พี่รุ้งเล่นคีย์บอร์ดเหมือนเดิมแต่หญิงขึ้น อารัชก็มาอีกมาดนึง พี่บอยกลายเป็น Usher น้องๆ ที่เห็นล่าสุดตอนเข้าแคร์ปีก่อน ก็ดูจริงจังมากขึ้น ทีมนมัสการเล็กๆ กลายเป็นวงใหญ่ในเวลารวดเร็ว เพราะพระเจ้าทำการผ่านผู้เชื่อในโบสถ์ ให้เป็นพยานพานักเรียนดนตรีมาเป็นคริสเตียนเกือบทั้งเวที ฯลฯ แต่พี่แนนเหมือนเดิมตลอดกาล

วันนี้หมอวรุณเทศน์แปลกๆ แกบอกว่าไม่เคยมีคำเทศน์อย่างนี้ที่ไหน ก็จริง เพราะเทศนาเรื่อง "การหัวเราะในพระวิญญาณ" แปลกแต่ก็โอเค ไม่เทียมเท็จ เพราะหัวเราะมาพอสมควร ที่แบบว่า ไม่ได้หัวเราะเอง แต่พระวิญญาณข้างในนำให้ ฮ่าๆๆ ออกมา มันมีสันติสุขมาก ซึ่งมักเกิดขึ้นเสมอในคืนอธิษฐานวันศุกร์ หรือไม่ก็เวลาขับผี ผีออกจาคนในที่ประชุม ข้างในมันจะหัวเราะออกมา เหมือนกับว่าธรรมะชนะอธรรมแล้วจริงๆ  บางครั้งหัวเราะมากจนหลายคนคิดว่าเพี้ยนไปแล้ว

 
สองสาวผู้สังเกตการณ์ และ สิ่งที่ยุโรปเรียกว่า Red Carpet

จบงานคนลงไปนอนหัวเราะกันทั้ง Hall เลยได้เข้าใจคำว่าขำกลิ้งก็วันนี้แหละ บางคนหัวเราะตั้งแต่ต้นงาน จนจบงานก็ยังไม่หยุด อึดจริงๆ เลิกงานก็ดึกมากแล้ว แต่พี่น้องยังชวนกันไปหม่ำอาหาร North East ต่อ ใกล้ๆ ประตูน้ำ (เจอพี่คนนึงเร่ร่อนมาขอตังค์ พอถามเรื่องพระเยซู ก็ท่องพระคัมภีร์ให้ฟังเป็นชุด แล้วก็เผ่นแนบไป) กลับบ้านเลยดึกมาก แล้วลืมบอกที่บ้านด้วย โดนโวยเล็กน้อย แต่ยังดี ไม่ต้องตากฝนเคาะประตูคอยเป็นชั่วโมงอันเนื่องจากที่บ้านลืมเรา เพราะล็อคกลอนไปแล้ว

¸¸.·´¯`·.¸·. ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ .·¸.·´¯`·.¸¸

Diary – June 9th

ได้ฤกษ์ไปซื้อคอมฯ ก็คงเป็นวันนี้สินะ หลังจากที่อธิษฐานเผื่อมันมาเป็นแรมปี พอกินข้าวเสร็จ ก็เริ่มสำรวจราคาแต่ละร้าน บางร้านต้อนรับดี แต่ของมีที่ต้องการไม่ครบ บางร้านราคาถูก แต่ถามอะไรไม่รู้เรื่องเลย กับบางร้าน ไม่เอาใจใส่ลูกค้าตั้งแต่ยังไม่ซื้อ เดินมา 10 กว่าร้าน จนในที่สุดปลงใจกับร้านที่น่าจะเก่งหน่อย และให้ดูตอนประกอบได้

เลยไปหาซื้อ Power Supply ร้านอื่นที่ถูกกว่าระหว่างนี้ และมาตามติดตอนประกอบ ว่าจะไม่ละสายตาเลย เพื่อไม่โดนสลับของย้อมแมวตอนเผลอ แต่คนที่ไปด้วยก็บ่นตลอด เมื่อยขา ปวดท้อง ไอ้เราเลยจับตาได้ไม่ละเอียด ต้องพาไปนั่งพักหม่ำๆๆ ซึ่งจริงๆ ไม่อยากละร้านมาเลย เพราะเมื่อกี๊ ร้านมั่วเอา RAM ปลอมมาให้เรา ดีว่าเชคแล้วบอกเขาไป ก็เล่นแกะอะไรไม่ให้เห็นตลอดเลย ประเภทเอาของแกะแล้วมาใส่ทั้งนั้น เราต้องย้ำหนักหนาว่าต้องเป็นประกัน Synex กะ Ingram เท่านั้น ก็ยังอุตส่าห์เอาของ Made in China มาให้จนได้ และต้องหยวนๆ ประกันบางชิ้นไป กว่าจะรอฟอร์แมท HDD เสร็จ ก็นานพอสมควร และปวดหัวไปเหมือนกัน

ตอนหัวค่ำไปนั่งเรียนชั้นสาวก อาจารย์บอกว่าประสบการณ์หลายสิบปีของท่าน คนชอบอ้างว่าติดงานวันอาทิตย์ ไม่ก็ไม่มีวันหยุด อ.เลยถามว่าแล้วใครใช้ให้คุณไปยอมรับระบบของบริษัทล่ะ ระบบที่ควรตั้งไว้ เป็นของพระเจ้าไม่ใช่รึ? เล่นทำงานที่เค้าบีบเราได้เอง เรายอมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของโลก เพื่อปัดระบบของพระเจ้าให้เบาลง ทั้งที่พระเจ้าต้องเป็น First Choice ไม่ใช่ Last Choice จึงเข้าใจเรื่องดินที่ตกในหนามมากขึ้นกับคำว่า "ความกังวลตามธรรมดา" (Mat 13:22) มันเป็นธรรมดาจริงๆ ที่คนวนไปตามกระแสของโลก แล้วก็กังวลไปทำตามนั้น

¸¸.·´¯`·.¸·. ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ .·¸.·´¯`·.¸¸

Diary – June 12th

ร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำไมชีวิตเราต้องอดทนกับอะไรมากมายจริงนะ บ่นเหมือนดาวิด "ทรงเก็บน้ำตาของข้าพระองค์ใส่ขวดของพระองค์ไว้ น้ำตานั้นไม่อยู่ในบัญชีของพระองค์หรือ พระเจ้าค่ะ" ด้วยเหมือนจะบังเอิญ แต่พระเจ้าตอบทันที พระองค์พาไปที่ไม้กางเขน ที่ที่พระวรกายของพระองค์ต้องฉีกขาด ที่ๆ ตะปูตัวใหญ่ๆ ตอกลงไปในเนื้อที่มีเส้นเลือดใหญ่ พระองค์แตกสลาย ต้องแลกกับความเจ็บปวดมากมาย กว่าจะได้สง่าราศี ณ ข้างขวาพระบัลลังก์

ยิ่งกว่านั้น มาเจอในคำพยานของ Osborn กล่าวว่า "เราอธิษฐานเผื่อชายหนุ่มอายุ 17 ปีที่ชื่อ วิลเบอร์ฟอร์ซ มอร์ริส ตอนเขาอายุ 9 ขวบ เขาทุกข์ทรมานด้วยไข้ไทฟอยด์เป็นเวลา 6 สัปดาห์ มันทำลายเส้นประสาทเกี่ยวกับการได้ยินและสายเสียงจนใช้การไม่ได้ ทำให้เขาต้องหูหนวกสนิทและเป็นใบ้ ต่อมาทั้งพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิต จึงถูกทิ้งไว้ให้เป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อนตามลำพัง" อ่านมาถึงตรงนี้ อยากจะร้องไห้โฮๆ อีกรอบ มีคนที่ชีวิตน่าสงสารกว่าเราอีกมากมาย มีคนที่ต้องทนทุกข์ยิ่งกว่าที่เราทนหลายเท่า พิการแล้วพ่อแม่ก็ไม่มี นี่แหละ โลกที่ยังรอคอยการช่วยเหลือ การปลดปล่อยจากคนของพระเจ้า

เราจะมัวมาร้องไห้ กับเศษเสี้ยวของความทุกข์คนอื่นหรือ คนอื่นที่ยังไม่รู้จักพระบิดาที่แสนดีของเรา เจ็บกว่าเราแค่ไหน เพียงแต่เค้าไม่บ่น เพราะเรียกร้องหาคนสนใจก็แทบไม่มี มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ "แล้วเจ้าหนุ่มวิลเบอร์ฟอร์ซก็รู้เกี่ยวกับการประชุมของเรา จึงมาเฝ้าดู เขาได้เห็นการอัศจรรย์มากมาย ทำให้เขาตัดสินใจเชื่อว่าพระเป็นเจ้าจะทรงรักษาเขาเช่นกัน ในแต่ละคืน เขาจะฝ่าฝูงเข้าไปอยู่ตรงหน้าเวทีให้มากที่สุด คืนนี้ เขาทำให้ผมสังเกตเห็นเขา จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีและคุกเข่าลงต่อหน้าผมกับเดซี่ ซึ่งทำให้เราประทับใจมากจนมิอาจปฎิเสธเขาได้ ผมวางมือลงบนศรีษะเขา โดยใช้นิ้วชี้ทั้ง 2 แยงเข้าไปในหู 2 ข้าง (เพราะสื่อสารวิธีอื่นไม่เข้าใจ) แล้วผมก็สั่งว่า ‘เจ้าวิญญาณหูหนวกเป็นใบ้ ที่ถูกส่งมาทำลายการได้ยินและการพูดของหนุ่มคนนี้ เราขอสั่งให้เจ้าออกไปจากเขา ในพระนามพระเยซู’ ขณะกำลังคุกเข่าอยู่นั้น หนุ่มคนนั้นเงยหน้ามองเราด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวา มั่นใจยิ่งกว่าได้เห็นการอัศจรรย์ แต่เมื่อเราทดสอบเขา หูของเขาก็ยังไม่ได้ยิน กระนั้นผมรู้ว่าเขามีความเชื่อที่แท้จริง และผมก็รู้ว่าวิญญาณหูหนวกนั้นเชื่อฟังผม หนุ่มคนนั้นเริ่มร้องไห้ และผมก็เอามือเชยคางขึ้นมาแล้วทำสัญญาณให้ลุกขึ้น ขณะเขาลุกขึ้น เขาได้ยินเสียงต่างๆ มากมายรอบตัว จากนั้นน้ำตาก็เปลี่ยนเป็นความชื่นชมยินดี …แต่ยังไม่มีเสียงใดเปล่งออกมาจากปาก ผมจึงเขียนโน้ตว่า ‘เพียงแต่เชื่อเท่านั้น พระเจ้าทรงรักษาหูของเธอแล้ว พยายามพูดออกมา’ เขาฉวยโน้ตของผมไว้แล้วหายตัวไป เช้าวันรุ่งขึ้น เขากลับมาพูดไดเหมือนเดิม การอัศจรรย์ของเขาสมบูรณ์ เขาจึงไปที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ Express …"

การร้องไห้ช่วยเขาไม่ได้ แต่การแสดงออกแห่งความรักโดยการกระทำ โดยการลงแรงไปประกาศ นั่นแหละ ช่วยเขาได้

¸¸.·´¯`·.¸·. ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ .·¸.·´¯`·.¸¸

3 Comments »

You alone

การเยาะเย้ยกระทำให้จิตใจข้าพระองค์ชอกช้ำ ข้าพระองค์จึงหมดกำลังใจ
ข้าพระองค์มองหาผู้สงสาร แต่ก็ไม่มี หาผู้เล้าโลม แต่ข้าพระองค์หาไม่พบ

[Psa 69:20]

เมื่อเราดำเนินชีวิตคริสเตียนมาถึงจุดหนึ่ง พระเจ้าจะกำจัดตัวช่วยของเราไปอย่างน่าตกใจ คนที่เราเคยคาดหวังว่าเขาจะเป็นที่พึ่ง เป็นทึ่หนึ่งเมื่อยามมีปัญหา หรือเป็นคนที่เรารักมากที่สุด จะถูกพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่มีใครดีไปกว่าพระเจ้า ไม่มีใครที่เราควรต้องการที่สุด มากกว่าพระเจ้า เรียกว่า พระเจ้าสอนให้รักพระองค์มากที่สุดจริงๆ มากกว่าที่เราจะคิดว่าเราเคยทำได้

อีกกรณีหนึ่ง คือ การกำเนิดนิมิตฝ่ายวิญญาณ ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ขณะที่พระเจ้าประทานนิมิตฝ่ายวิญญาณให้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ต้องผูกพันตนกับพระองค์ มีความกดดันในทุกๆ ด้านของชีวิตของคุณ ทุกๆ ส่วนภายในปวดร้าว และกำลังจะระเบิดออกมา เพื่อให้นิมิตฝ่ายวิญญาณสำเร็จตามที่พระเจ้าได้วางไว้ เป็นช่วงที่ลำบากมากจนหลายๆ คนไม่ยอมทน [Isa 26:17-18; Joh 16:21; ] เนื่องจากเป็นการก้าวไปสู่ในสิ่งที่ไม่เข้าใจ คนรอบข้างไม่เข้าใจ หรือแม้แต่เพื่อนสนิท พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณ ฯลฯ (อ้างอิงจาก บทเรียนของฮาร์เวสไทม์)

… ง่วงค่ะ จบเลย …

7 Comments »